วานนี้ (4 ก.พ.) นายสแตนลีย์ คัง (Mr. Stanley Kang) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) และคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยฝ่ายไทยมีผู้เข้าร่วม อาทิ รมว.พาณิชย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) สำหรับคณะหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย ประกอบด้วย ประธาน และรองประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย ได้แก่ อาร์เมเนี่ยน เบลเยี่ยม-ลักเซมเบอร์ก บราซิล แคนาดา จีน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี เฮเลนนิก ฮ่องกง อินโดนีเซีย อินเดีย ไอริช อิสราเอล อิตาเลียน เกาหลีใต้ คริสเตียนไทย-นานาชาติ (มาซิโดเนีย) เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ ปากีสถาน แอฟริกาใต้ ศรีลังกา สวิสเซอร์แลนด์ ไต้หวัน และตุรกี
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้ นายกฯ ยินดีที่ได้พบกับประธานหอการค้า ผู้บริหารและสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมขอบคุณ JFCCT ที่มีบริษัทสมาชิกสมาชิกถึง 9,000 บริษัท และมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และส่งเสริมการค้าการลงทุนของต่างชาติในไทย
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังมุ่งไปสู่การมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีของนักลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาแสวงหาลู่ทางการลงทุนได้ในหลายสาขา โดยในปี 2562 รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการส่งออก สนับสนุนการขยายตัวของภาคเอกชน ดูแลเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย สร้างความเข้มแข็งให้ SMEs ขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ และเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงาน และคุณภาพแรงงาน
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณ JFCCT ที่ได้จัดทำเอกสารรายงานข้อเสนอแนะด้านนโยบายในด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การลงทุนของชาวต่างชาติ และการปฏิรูปในสาขาที่จะเอื้อประโยชน์แก่ภาคธุรกิจให้รัฐบาลพิจารณา โดยรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน เพื่อดูแลนักลงทุนแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว และขจัดปัญหาอุปสรรคในการลงทุนทางด้านกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ แก่นักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลยังได้ผลักดันกฎหมายต่างๆ ออกมารองรับนโยบายเศรษฐกิจ รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบด้านการค้าการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)รวมถึงพัฒนาการอาชีวศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงงาน โดยขณะนี้รัฐบาลได้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ เช่น สถาบัน Kaizen ของญี่ปุ่น และสถาบัน Pearson ของอังกฤษ
โอกาสนี้ JFFCT แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า ไทยถือเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุนจากต่างชาติ เป็นประเทศที่มีเสถียรภาพ และศักยภาพ โดยเห็นได้จากตัวชี้วัดความยากง่ายในการทำธุรกิจของธนาคารโลก ที่แม้ว่าอันดับจะตกลงไป แต่คะแนนรวมเพิ่มขึ้น
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี แสดงความขอบคุณ JFCCT และหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยอีกครั้ง โดยไทยยินดีรับฟังข้อชี้แนะ รวมทั้งพร้อมร่วมมือ เพื่อยกระดับการค้าและการลงทุนระหว่างระหว่างกันให้แน่นแฟ้น และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้ นายกฯ ยินดีที่ได้พบกับประธานหอการค้า ผู้บริหารและสมาชิกหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมขอบคุณ JFCCT ที่มีบริษัทสมาชิกสมาชิกถึง 9,000 บริษัท และมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และส่งเสริมการค้าการลงทุนของต่างชาติในไทย
ทั้งนี้ ประเทศไทยกำลังมุ่งไปสู่การมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีของนักลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาแสวงหาลู่ทางการลงทุนได้ในหลายสาขา โดยในปี 2562 รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการส่งออก สนับสนุนการขยายตัวของภาคเอกชน ดูแลเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย สร้างความเข้มแข็งให้ SMEs ขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ และเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงาน และคุณภาพแรงงาน
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณ JFCCT ที่ได้จัดทำเอกสารรายงานข้อเสนอแนะด้านนโยบายในด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การลงทุนของชาวต่างชาติ และการปฏิรูปในสาขาที่จะเอื้อประโยชน์แก่ภาคธุรกิจให้รัฐบาลพิจารณา โดยรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน เพื่อดูแลนักลงทุนแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว และขจัดปัญหาอุปสรรคในการลงทุนทางด้านกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ แก่นักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลยังได้ผลักดันกฎหมายต่างๆ ออกมารองรับนโยบายเศรษฐกิจ รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบด้านการค้าการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)รวมถึงพัฒนาการอาชีวศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมด้านกำลังแรงงานและคุณภาพแรงงาน โดยขณะนี้รัฐบาลได้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ เช่น สถาบัน Kaizen ของญี่ปุ่น และสถาบัน Pearson ของอังกฤษ
โอกาสนี้ JFFCT แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า ไทยถือเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุนจากต่างชาติ เป็นประเทศที่มีเสถียรภาพ และศักยภาพ โดยเห็นได้จากตัวชี้วัดความยากง่ายในการทำธุรกิจของธนาคารโลก ที่แม้ว่าอันดับจะตกลงไป แต่คะแนนรวมเพิ่มขึ้น
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี แสดงความขอบคุณ JFCCT และหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยอีกครั้ง โดยไทยยินดีรับฟังข้อชี้แนะ รวมทั้งพร้อมร่วมมือ เพื่อยกระดับการค้าและการลงทุนระหว่างระหว่างกันให้แน่นแฟ้น และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น