สำหรับองค์ประกอบที่สามหรือองค์ประกอบสุดท้าย...ก็คงหนีไม่พ้นไปจากการอาศัย “มวลชน” หรืออาศัยบรรดาชาวเวเนซุเอลาด้วยกันเองนั่นแล ว่าจะเลือกหนุน เลือกถือหาง ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยชาวเวเนซุเอลา หรือประธานาธิบดีที่มาจากการแต่งตั้งโดยคุณพ่ออเมริกากันแน่!!! ซึ่งก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า...บรรดา “มวลชน” ชาวเวเนซุเอลา ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย อย่างเห็นได้โดยชัดเจน กลายเป็นพวก “เสื้อขาว-เสื้อแดง” พอๆ กับพวก “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง” ในบ้านเรา ทำนองนั้น...
ส่วนอะไรที่เป็นต้นสายปลายเหตุ...อันทำให้บรรดามวลชนชาวเวเนซุเอลา ต้องแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ไม่อาจสมานฉันท์ ปรองดองกันได้ง่ายๆ นอกเหนือไปจากเงื่อนไข เหตุปัจจัยภายใน โดยเฉพาะความตกต่ำ เสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ การต้องเจอกับอัตราเงินเฟ้อระดับนับล้านๆ เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงเหตุผลส่วนตัวและมุมมองที่แตกต่างกันไปในแต่ละปัจเจกบุคคลแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า...โดย “การแทรกแซงจากต่างชาติ” ระดับลึกลงไปภายในหมู่มวลชนด้วยกันเอง ต้องถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บรรดาชาวเวเนซุเอลาต่อกันไม่ค่อยจะติด หรือไม่อาจ “เกี่ยวก้อย” กันได้เลย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ของใหม่ เพราะกรรมวิธีเช่นนี้มักถูกนำมาใช้อยู่บ่อยๆ ในการ “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” ต่อประเทศที่ไม่คิดจะเอาด้วยกับคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าในโลกอาหรับ ยุโรปตะวันออก หรือแม้แต่ประเทศคู่กัดอย่างอิหร่านในอนาคตเบื้องหน้า โดยอาศัย “คาถาศักดิ์สิทธิ์” ประเภท “ประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน-เสรีภาพ” อะไรประมาณนั้น...
ใครที่อยากรู้ข้อมูล รายละเอียด ในเรื่องทำนองนี้...คงต้องลองไปหาอ่านข้อเขียนของ “นายโทนี่ คาร์ตาลุชชี่” (Tony Cartalucci) เหยี่ยวข่าว “เสื้อเหลือง” ผู้รักประเทศไทย รักเมืองไทย จนต้องปักหลักอยู่ที่กรุงเทพมหานครตราบเท่าทุกวันนี้ ที่ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ในประเทศเวเนซุเอลา ในชื่อว่า “The Truth IsEasy if You Follow the Money Trail. The Opposition is Pro-Washington, Not Pro-Democracy” เอาไว้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2017 และล่าสุด...ได้เขียนบทความชื่อว่า “US Regime Change in Venezuela: The Document Evidence” ไว้เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ก็น่าจะพอถึง “บางอ้อ” ได้พอสมควร...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...มันคงต้องมี “จัดตั้ง” หรือมีการสนับสนุนเงินทุน อุปกรณ์เครื่องไม้-เครื่องมือ รวมไปถึงแนวคิดจากบรรดาองค์กรระหว่างประเทศนั่นแหละ โดยเฉพาะองค์กรที่มีชื่อเรียกขานกันในนาม “US National Endowment for Democracy” หรือ “NED” ที่เคยอยู่เบื้องหลังการลุกฮือของมวลชนในประเทศอียิปต์ปี ค.ศ. 2013 อยู่เบื้องหลังการลุกฮือของมวลชนในยูเครนปี ค.ศ. 2014 ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอยู่กับ “นายกุยโด” และสมัครพรรคพวกมานานแล้ว อันทำให้การลุกฮือของมวลชนในเวเนซุเอลาทุกวันนี้ อาจนำไปสู่การ “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” หรือนำไปสู่การโค่นล้ม “ระบอบปกครอง” ของประธานาธิบดี “มาดูโร” ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง และอย่าง “แนบเนียน” ที่สุด...
ดังนั้น...ในขณะที่พวก “เสื้อขาว” หรือผู้ที่สนับสนุน “นายกุยโด” กำลังกู่ร้อง ก้องตะโกน ให้ “มาดูโร...ออกไป...ออกไป” อยู่แถวๆ ด้านเหนือของกรุงคารากัส ส่วนพวก “เสื้อแดง” หรือผู้สนับสนุนประธานาธิบดี “มาดูโร” เดินวนมา-วนไปอยู่กลางใจเมือง พร้อมทั้งตะโกนด่าพวก “เสื้อขาว” ว่า “ไอ้ทรยศ” อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจก่อให้เกิด “อุบัติเหตุทางการเมือง” อันนำไปสู่การพลิกฟ้า-คว่ำดินเอาง่ายๆ เพราะถ้าหากเมื่อไหร่มันเกิดการปะทะขั้นแตกหักระหว่างทั้งสองฝ่ายชนิด “เลือดนองแผ่นดิน” มันก็จะกลายเป็นตัวส่งผลให้องค์ประกอบที่หนึ่ง และที่สอง มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาโดยฉับพลัน-ทันที...
ด้วยเหตุนี้...ระหว่างประธานาธิบดีชั่วคราวอย่าง “นายกุยโด” แกเริ่มออกมาในแนว “ไม่ว่าเสื้อขาว-เสื้อแดง...ขอให้แรงเข้าไว้” หรือเริ่มออกมาเรียกร้องมวลชนฝ่ายตัวเองลุกฮือให้หนักๆ เข้าไว้ ชนิดแทบไม่ต้องสนใจการปะทะแตกหักใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อยประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งอย่าง “นายมาดูโร” ก็เลยหนีไม่พ้นต้องหาทาง “ยืดหยุ่น” เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่ยากเย็น และสลับซับซ้อนพอสมควร ไม่เพียงแต่ต้องเปลี่ยนการตัดสินใจจากที่เคยประกาศขับทูตอเมริกาออกจากเวเนซุเอลา กลายเป็นการยอมให้ทูตอเมริกาอยู่ในประเทศได้ต่อไป ประกาศพร้อมเดินทางไปชี้แจงกับสหประชาชาติ ณ กรุงวอชิงตัน แล้วยังต้องหาทางทำยังไงถึงจะไม่ให้บรรดา “มวลชน” ของทั้งสองฝ่ายหันมาลงมือ ลงตีน ซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามที่ตัวเองได้ตั้งปณิธานเอาไว้ประมาณว่า... “จะไม่ยอมให้เวเนซุเอลา ต้องกลายเป็นซีเรีย หรือลิเบีย โดยเด็ดขาด!!!”...
สรุปรวมความแล้ว...สิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการชี้ขาด ชี้วัดตัดสิน ว่าใครชนะ-ใครแพ้ หรือใครเป็นประธานาธิบดีที่ถูกต้องชอบธรรมกันแน่ มันคงอยู่ที่องค์ประกอบสุดท้าย หรือคงขึ้นอยู่กับบรรดา “มวลชน” ชาวเวเนซุเอลาทั้งหลายนั่นแล ว่าจะออกมาในลูกไหน แนวไหน จะหลงเหลือสายใยแห่งความ “รู้-รัก-สามัคคี” กันในระดับใด หรือจะโกรธ-เกลียด-เคียดแค้น-อาฆาต-พยาบาทกันจนไม่จำเป็นต้องสนใจว่า บ้านเกิด แผ่นดินเกิดของตัวเองจะฉิบหายวายวอดไปถึงขั้นไหน ถึงขั้นต้องรบราฆ่าฟันกัน 7 ปี 8 ปี ต้องเซ่นสังเวยชีวิตของผู้คนในแผ่นดินเดียวกันนับเป็นแสนๆ ล้านๆ เหมือนอย่างที่ประเทศ “ซีเรีย” กำลังประสบอยู่ในทุกวันนี้ หรือต้องกลายเป็นประเทศที่แทบไม่เหลือการบังคับใช้กฎหมายใดๆ ได้อีกเลย ต้องกลับไปสู่ยุคทาส หรือยุคจับคนมาเป็นทาส เป็นเชลย เพื่อเรียกเงิน เรียกค่าไถ่ แบบประเทศ “ลิเบีย” ซึ่งยังหาทางออก ทางไปกันไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้...
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็น “บทเรียน-บทศึกษา” ที่มีค่าที่สุด!!! แม้แต่สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่อยู่ห่างไกลไปจากเวเนซุเอลาไม่รู้จะกี่หมื่นกี่แสนโยชน์ แต่ภายใต้ยุคโลกาภิวัตน์ที่อะไรต่อมิอะไรมันเชื่อมต่อกันหมด และภายใต้โลกที่มันแทบไม่เหลือ “พื้นที่เป็นกลาง” เอาไว้ให้ใครได้ยืน ได้นั่ง ได้นอนกันอีกต่อไป รวมทั้งภายใต้ “การส่งออกปฏิวัติ” ที่มันได้ยกระดับพัฒนาไปสู่รูปแบบใหม่ๆ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า...คงต้องหาทางรักๆ กันเข้าไว้นั่นแหละดี...