สื่อฮ่องกงเผยเบื้องหลัง "ยิ่งลักษณ์" ถูกถอดชื่อพ้นประธานบริหารท่าเรือซัวเถา ในเวลาไม่ถึง 1 เดือน รัฐบาลปักกิ่งสงสัยว่า หุ้นส่วนชาวสิงคโปร์ ที่ตั้งบริษัทร่วมกัน อาจพัวพันกับคดีหนีภาษี
หลังมีรายงานจากสื่อจีนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่หลบหนีคดีอยู่ในต่างปรเะเทศ ได้ซื้อกิจการท่าเรือเมืองซัวเถา ประเทศจีน แต่เวลาผ่านไปไม่ถึง 1 เดือนปรากฏข่าวอีกครั้งว่า ชื่อของอดีตนายกฯไทย ที่เคยปรากฏในเอกสารทะเบียนบริษัท ว่าเป็นผู้แทนทางกฎหมายและประธานบริษัท ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชาวจีนไปเสียแล้ว จนถูกเชื่อมโยงถึงประเด็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้พาสปอร์ตของประเทศกัมพูชา ในจัดตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจครั้งนี้ จนมีรายงานข่าวอีกด้านว่า สมเด็จฯฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ต้องสั่งยกเลิกการออกหนังสือเดินทางให้กับชาวต่างชาติทั้งหมด
ล่าสุด แอปเปิล เดลี สื่อใหญ่ของฮ่องกง และเพจฯบูรพาไม่แพ้ ได้รายงานตรวจสอบเบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เดิมจากท่าเรือซัวเถามีผู้ถือหุ้นใหญ่ ร้อยละ 70 คือ บริษัท ฮัทชิสัน พอร์ต ซั่นโถว 和記港口汕頭公司 กิจการในเครือของ "ลี กาชิง" มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ส่วนหุ้นอีกร้อยละ 30 เป็นของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของเมืองซัวเถา
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว บริษัทในเครือของลี กาชิง ได้ขายหุ้นร้อยละ 70 ที่ถืออยู่ ให้กับบริษัท หวายย่าซั่นโถว 寰亞汕頭有限公司 บริษัทนี้มีผู้ถือหุ้น 3 ส่วน คือ บริษัทที่ยิ่งลักษณ์จัดตั้งขึ้น ร้อยละ 60, บริษัทของ ถังอี้กัง นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ร้อยละ 30 และ ชาวฮ่องกง ที่ชื่อว่า หยังถู ร้อยละ 10 ผู้ถือหุ้นลงขันร่วมกันเป็นทุนจดทะเบียน 100 ล้านเหรียญฮ่องกง
หลังการซื้อขายเปลี่ยนมือ บริษัท หวายย่าซั่นโถว จึงได้เป็นผู้บริหารท่าเรือซัวเถา และแต่งตั้ง ยิ่งลักษณ์ ให้เป็นประธานบริษัท หุ้นส่วนเศรษฐีชาวสิงคโปร์ พัวพันหนีภาษี
ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้คือ หุ้นส่วนที่จัดตั้งบริษัทร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ชื่อ“ถังอี้กัง”นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ที่ว่ากันว่า เป็นคนที่เดินเกมในดีล ครั้งนี้
"ถังอี้กัง" ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐฯ เขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยอันดับที่ 32 ในสิงคโปร์ และสนิทสนมกับ ตระกูลชินวัตร ถึงขนาดที่บ้านพักของ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ในฮ่องกง ก็เป็นที่อยู่เดียวกับ ถังอี้กัง
ถังอี้กัง ยังสนิทสนมกับครอบครัวของ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช แห่งสหรัฐฯ โดยจัดตั้งบริษัททำธุรกิจร่วมกัน และยังเคยบริจาคเงินมากถึง 13,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุน นาย เจบ บุช น้องชายของ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช ในการหาเสียงเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ชิ่งตำแหน่งผู้นำสหรัฐ
สื่อฮ่องกงระบุว่า ถังอี้กัง และภรรยาที่ชื่อว่า เฉินหวายตัน สนิทกับตระกูลชินวัตร ตระกูล บุช และคนเด่นคนดังมากมาย แต่กลับไม่ปรากฏข้อมูลทางการมากนัก โครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจต่าง ๆ ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง
แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อตรวจสอบพบว่า ในช่วง ปี 2001-2002 บริษัทของถังอี้กัง เคยถูกรัฐบาลจีนตรวจสอบคดีสินค้าหนีภาษี ที่เมืองซัวเถา พนักงานของบริษัทหลายคนถูกดำเนินคดี บริษัทถูกยึดทรัพย์ แต่ถังอี้กัง รอดพ้นการถูกดำเนินคดี
พลิกแฟ้มคดีดัง ติดสินบนปิดปากนักข่าว
คดีหนีภาษี ที่หุ้นส่วนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวข้องเกิดขึ้นในช่วงปี 2001 รัฐบาลจีนที่กรุงปักกิ่ง ตั้ง “ชุดเฉพาะกิจ 815”เดินทางลงใต้ไปเมืองซัวเถา เพื่อตรวจสอบขบวนการหนีภาษี 4 บริษัทใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัทของถังอี้กัง การลงดาบจากปักกิ่งทำให้ผู้บริหารบริษัทเหล่านี้หนีกระเจิดกระเจิง มีเพียงพนักงานปลาซิวปลาสร้อยที่ต้องรับโทษ โดยมีรายงานว่าบริษัทของถังอี้กังลักลอบนำสินค้าหนีภาษีเป็นมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านหยวน และมีรายงานบางกระแสอ้างว่า หลังจากนั้นในปี 2007 เขาได้ยอมรับผิดต่อศาลของจีน และถูกตัดสินโทษรอลงอาญา
อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ เมื่อปี 2016 ถังอี้กัง ปฏิเสธคดีหนีภาษีที่ซัวเถา และบอกว่าเขาไม่เคยมีประวัติทำผิดอาญาใดๆแต่ต่อมาเขากลับ “กินปูนร้อนท้อง”โดยเสนอจะมอบเงิน 200,000 เหรียญฮ่องกง ให้ผู้สื่อข่าวเพื่อแลกกับการไม่พูดถึงเรื่องคดีหนีภาษี แต่ผู้สื่อข่าวปฏิเสธรับเงินสินบน
กิจการท่าเรือ ถือเป็นธุรกิจยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ การที่ท่าเรือซัวเถา มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เคยมีประวัติความด่างพร้อย จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลปักกิ่งรับไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อเรื่องถูกขยายผลทางการเมือง จากความเกี่ยวข้องของ ตระกูลชินวัตร ยิ่งทำให้ทางการจีนต้องตัดไฟแต่ต้นลม ไม่สงสารยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ภาคภูมิใจ ในการได้งานโกอินเตอร์ครั้งใหม่ได้แค่เพียง 1 เดือนเท่านั้น.
หลังมีรายงานจากสื่อจีนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่หลบหนีคดีอยู่ในต่างปรเะเทศ ได้ซื้อกิจการท่าเรือเมืองซัวเถา ประเทศจีน แต่เวลาผ่านไปไม่ถึง 1 เดือนปรากฏข่าวอีกครั้งว่า ชื่อของอดีตนายกฯไทย ที่เคยปรากฏในเอกสารทะเบียนบริษัท ว่าเป็นผู้แทนทางกฎหมายและประธานบริษัท ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชาวจีนไปเสียแล้ว จนถูกเชื่อมโยงถึงประเด็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้พาสปอร์ตของประเทศกัมพูชา ในจัดตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจครั้งนี้ จนมีรายงานข่าวอีกด้านว่า สมเด็จฯฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ต้องสั่งยกเลิกการออกหนังสือเดินทางให้กับชาวต่างชาติทั้งหมด
ล่าสุด แอปเปิล เดลี สื่อใหญ่ของฮ่องกง และเพจฯบูรพาไม่แพ้ ได้รายงานตรวจสอบเบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เดิมจากท่าเรือซัวเถามีผู้ถือหุ้นใหญ่ ร้อยละ 70 คือ บริษัท ฮัทชิสัน พอร์ต ซั่นโถว 和記港口汕頭公司 กิจการในเครือของ "ลี กาชิง" มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ส่วนหุ้นอีกร้อยละ 30 เป็นของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของเมืองซัวเถา
จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว บริษัทในเครือของลี กาชิง ได้ขายหุ้นร้อยละ 70 ที่ถืออยู่ ให้กับบริษัท หวายย่าซั่นโถว 寰亞汕頭有限公司 บริษัทนี้มีผู้ถือหุ้น 3 ส่วน คือ บริษัทที่ยิ่งลักษณ์จัดตั้งขึ้น ร้อยละ 60, บริษัทของ ถังอี้กัง นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ร้อยละ 30 และ ชาวฮ่องกง ที่ชื่อว่า หยังถู ร้อยละ 10 ผู้ถือหุ้นลงขันร่วมกันเป็นทุนจดทะเบียน 100 ล้านเหรียญฮ่องกง
หลังการซื้อขายเปลี่ยนมือ บริษัท หวายย่าซั่นโถว จึงได้เป็นผู้บริหารท่าเรือซัวเถา และแต่งตั้ง ยิ่งลักษณ์ ให้เป็นประธานบริษัท หุ้นส่วนเศรษฐีชาวสิงคโปร์ พัวพันหนีภาษี
ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้คือ หุ้นส่วนที่จัดตั้งบริษัทร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ชื่อ“ถังอี้กัง”นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ที่ว่ากันว่า เป็นคนที่เดินเกมในดีล ครั้งนี้
"ถังอี้กัง" ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐฯ เขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยอันดับที่ 32 ในสิงคโปร์ และสนิทสนมกับ ตระกูลชินวัตร ถึงขนาดที่บ้านพักของ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ในฮ่องกง ก็เป็นที่อยู่เดียวกับ ถังอี้กัง
ถังอี้กัง ยังสนิทสนมกับครอบครัวของ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช แห่งสหรัฐฯ โดยจัดตั้งบริษัททำธุรกิจร่วมกัน และยังเคยบริจาคเงินมากถึง 13,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุน นาย เจบ บุช น้องชายของ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช ในการหาเสียงเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ชิ่งตำแหน่งผู้นำสหรัฐ
สื่อฮ่องกงระบุว่า ถังอี้กัง และภรรยาที่ชื่อว่า เฉินหวายตัน สนิทกับตระกูลชินวัตร ตระกูล บุช และคนเด่นคนดังมากมาย แต่กลับไม่ปรากฏข้อมูลทางการมากนัก โครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจต่าง ๆ ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง
แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อตรวจสอบพบว่า ในช่วง ปี 2001-2002 บริษัทของถังอี้กัง เคยถูกรัฐบาลจีนตรวจสอบคดีสินค้าหนีภาษี ที่เมืองซัวเถา พนักงานของบริษัทหลายคนถูกดำเนินคดี บริษัทถูกยึดทรัพย์ แต่ถังอี้กัง รอดพ้นการถูกดำเนินคดี
พลิกแฟ้มคดีดัง ติดสินบนปิดปากนักข่าว
คดีหนีภาษี ที่หุ้นส่วนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวข้องเกิดขึ้นในช่วงปี 2001 รัฐบาลจีนที่กรุงปักกิ่ง ตั้ง “ชุดเฉพาะกิจ 815”เดินทางลงใต้ไปเมืองซัวเถา เพื่อตรวจสอบขบวนการหนีภาษี 4 บริษัทใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัทของถังอี้กัง การลงดาบจากปักกิ่งทำให้ผู้บริหารบริษัทเหล่านี้หนีกระเจิดกระเจิง มีเพียงพนักงานปลาซิวปลาสร้อยที่ต้องรับโทษ โดยมีรายงานว่าบริษัทของถังอี้กังลักลอบนำสินค้าหนีภาษีเป็นมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านหยวน และมีรายงานบางกระแสอ้างว่า หลังจากนั้นในปี 2007 เขาได้ยอมรับผิดต่อศาลของจีน และถูกตัดสินโทษรอลงอาญา
อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ เมื่อปี 2016 ถังอี้กัง ปฏิเสธคดีหนีภาษีที่ซัวเถา และบอกว่าเขาไม่เคยมีประวัติทำผิดอาญาใดๆแต่ต่อมาเขากลับ “กินปูนร้อนท้อง”โดยเสนอจะมอบเงิน 200,000 เหรียญฮ่องกง ให้ผู้สื่อข่าวเพื่อแลกกับการไม่พูดถึงเรื่องคดีหนีภาษี แต่ผู้สื่อข่าวปฏิเสธรับเงินสินบน
กิจการท่าเรือ ถือเป็นธุรกิจยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ การที่ท่าเรือซัวเถา มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เคยมีประวัติความด่างพร้อย จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลปักกิ่งรับไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อเรื่องถูกขยายผลทางการเมือง จากความเกี่ยวข้องของ ตระกูลชินวัตร ยิ่งทำให้ทางการจีนต้องตัดไฟแต่ต้นลม ไม่สงสารยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ภาคภูมิใจ ในการได้งานโกอินเตอร์ครั้งใหม่ได้แค่เพียง 1 เดือนเท่านั้น.