xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองชาตินิยมกับการรื้อฟื้นอาณานิคมครั้งใหม่

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


สงสัยวันนี้...คงต้องหวนกลับไปสำรวจตรวจสอบแถวๆ ยุโรปกันดูอีกเที่ยว เพราะดูจากลักษณะท่าทาง...โอกาสที่กลุ่มประเทศ “อียู” หรือสหภาพยุโรป อาจต้องกลายเป็น “อีย้วย” ขึ้นมาในวันหนึ่ง วันใด มันชักจะมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นทุกที คือไม่ใช่การหาจุดลงตัว หาข้อยุติระหว่าง “อังกฤษ” กับ “อียู” ในเรื่อง “Brexit” เท่านั้น ที่ยังหาบันไดลงยังไม่เจอ การออกมาสาดสากกะเบือบินใส่กันและกัน ระหว่างประเทศเสาหลักอียูอย่าง “อิตาลี” และ “ฝรั่งเศส” ถึงขั้นกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสต้องเรียกทูตอิตาลี มารับทราบข้อประท้วง อันนี้...ยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานเรื่อง “ฟองสบู่อียู” อาจต้องแตกภายในปีนี้ ยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

สำหรับเรื่องข้อกล่าวหา หรือ “สากกะเบือบิน” ของรองนายกรัฐมนตรีอิตาลี “นายลุยจิ ดิ มาโย” (Luigi Di Maio) แห่งพรรค “ห้าดาว” (Five Star Movement) ที่สาดเข้าใส่ประเทศฝรั่ง ในกรณีมุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากอดีตอาณานิคมของตัวเองในทวีปแอฟริกา อันนำมาซึ่งความยากจนการอพยพหลบหนีออกจากประเทศตัวเอง จนกลายเป็น “ผู้ลี้ภัย” ที่เป็นตัวสร้างภาระให้กับประเทศยุโรป หรืออียูทั้งอียูไปจนได้ ก็คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...แม้จะมีอารมณ์หมั่นไส้ อิจฉาริษยาแฝงอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็มี “ข้อเท็จจริง” รองรับอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ถ้าไม่มีแอฟริกา...ฝรั่งเศสอาจตกไปอยู่อันดับที่ 15 ของประเทศผู้นำเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ 6 อันดับแรก อย่างเช่นทุกวันนี้”...

จะด้วยเหตุเพราะ “ระเบียบโลกแบบขั้วอำนาจเดียว” (Unilateral World Order) มันค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนสภาพไปสู่ความเป็น “ระเบียบโลกแบบหลายขั้วอำนาจ” (Multilateral World Order) ชัดเจนยิ่งขึ้นไปทุกที หรือเป็นเพราะความเสื่อมของ “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกา โดยเฉพาะหลังจาก “ด้วยเหตุเพราะประเทศนี้มันมีกรรม-จึงได้ทรัมป์มาเป็นนายขายหน้าเอย” หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แนวโน้มที่บรรดาประเทศ “อดีตเจ้าอาณานิคม” ทั้งหลาย จึงได้เริ่มแสดงอากัปกิริยาท่าทีออกอาการคล้ายๆ อยากหวนกลับไปสู่การรื้อฟื้นความเป็น “เจ้าอาณานิคม” ของตัวเองกลับคืนขึ้นมาใหม่ มันจึงปรากฏให้เห็นค่อนข้างจะชัดเจน จนใครต่อใครต้องหยิบเอามาวิเคราะห์วิจารณ์กันเป็นจำนวนไม่น้อย เช่น นักวิเคราะห์อย่าง “Thierry Meyssan” ประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิ “Voltaire Network” ที่ได้พยายามสะท้อนความเคลื่อนไหวทำนองนี้ไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด เรื่อง “Re-Colonization: France, Turkey and England Return to their Colonial Ambitions” ในเว็บไซต์ “Mint Press News” สำหรับใครที่สนใจคงต้องลองไปหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน...

แต่โดยสรุปรวมๆ แล้ว...มันมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่สะท้อนออกไปในแนวนี้ อยู่หลายเรื่อง หลายราว หลายครั้ง หลายหน จนน่าจะหยิบยกมาใช้เป็น “ข้อสมมติฐาน” หรือ “ข้อสังเกต” ได้อยู่พอสมควรเหมือนกัน ไม่ว่าความพยายามที่จะดำรงรักษาผลประโยชน์เดิมๆ ที่ได้จากการขุดและขนยูเรเนียมในประเทศไนจีเรีย และกาบอง กลับมายังฝรั่งเศส การผูกขาดสินค้าโกโก้ในไอวอรี่ โคสต์ การแข่งขันแย่งชิงความมีบทบาทอิทธิพลเหนือประเทศแอฟริกาตะวันตกไม่ว่าบูร์กินา ฟาโซ, กานา, ชาด, ไอวอรี่ โคสต์ ฯลฯ กับคู่แข่งรายสำคัญอย่างประเทศจีน ที่พยายามเจาะทะลวงเข้าไปในแอฟริกายิ่งขึ้นเรื่อยๆ การคงกำลังทหารฝรั่งเศสอยู่ในประเทศแอฟริกาถึง 9,000 คน หรือประกาศต่อหน้าทูตฝรั่งเศสจำนวน 170 คน เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ว่าแอฟริกาถือเป็น “แก่นสาระสำคัญ” ของนโยบายต่างประเทศฝรั่งเศส หรือการประกาศต่อหน้าผู้นำในแอฟริกาตะวันตกว่า “ฝรั่งเศสกำลังจะกลับมา” ของประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” ขณะเดินทางไปเยือนเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ถือเป็นหลักฐาน ข้อพิสูจน์ถึงความพยายาม “Re-Colonization” หรือการหวนกลับไปสู่การแสวงประโยชน์จากอดีตอาณานิคมไม่ว่าจะในรูปหนึ่ง รูปใด รูปเก่า หรือรูปใหม่ ก็ตามที...

ไม่ต่างไปจากอังกฤษที่พยายามจะ “Brexit” หรือพยายามแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ก็คงไม่ได้คิดแยกออกมาเพื่อ “โฮม อโลน” หรือเพื่อ “ปลอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง” อยู่ตามลำพัง เพราะไม่ว่าจะดูจากกิริยาท่าทีของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นางเทเรซา เมย์” หรือ “เมย์ มนุษย์ป้า” ที่เคยเดินทางไปเสนอข้อเสนอถึงอเมริกาให้รื้อฟื้นความเป็นผู้นำของ “แองโกล-แซกซอน” (Re-Establishing the Anglo-Saxon Leadership) ขึ้นมาบนโลกใบนี้ การคุยโม้ คุยโตของรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ “นายเกวิน วิลเลียมสัน” (Gavin Williamson) กับหนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟ เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้นี่เอง ประมาณว่า “นับจากนี้...อังกฤษจะกลับมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้ง” ภายใต้การตระเตรียมแผนการจะจัดสร้างฐานทัพอังกฤษขึ้นมาใหม่อีก 2 แห่ง ทั้งในทะเลแคริบเบียน และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถวๆ สิงคโปร์หรือบรูไนก็แล้วแต่ นอกเหนือไปจากฐานทัพเดิมๆ ที่ไซปรัส, ยิบรอลตาร์, ฟอล์กแลนด์ และดิเอโก การ์เซีย ด้วยเหตุผลข้ออ้างที่ว่า... “นี่เป็นช่วงเวลาครั้งสำคัญที่สุดของอังกฤษ นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เป็นโอกาสที่เราจะก่อร่าง สร้างตัวขึ้นมาใหม่ ให้มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ซึ่งกำลังคาดหวังให้เรามีบทบาทเช่นนั้น...”

หรือแม้แต่การร่วมลงนามในข้อตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี เมื่อช่วงวันอังคาร (22 ม.ค.) ที่ผ่านมา ก็อาจถือเป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว เพราะไม่เพียงแต่การเซ็นสัญญาความร่วมมือในทางเศรษฐกิจ ต่างประเทศ ขนส่ง มนุษยธรรม ฯลฯ ระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่ยังผนวกรวมเอา “ความร่วมมือทางทหาร” เข้าไปอีกด้วย ที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมช่วยเหลือป้องกันในทางทหารให้กับอีกฝ่าย เรียกว่า...ถือเป็นความร่วมมือทางทหารที่ซ้อนลงไปอีกชั้น จากความร่วมมือทางทหารของ “NATO” อันมีประเทศอเมริกาเป็นผู้นำ ผู้ควบคุม บงการไว้โดยตลอด...

สรุปง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าความเคลื่อนไหวในลักษณะเช่นนี้ มันจะนำไปสู่การ “Re-Colonization” การรื้อฟื้นความเป็นอาณานิคมแบบใหม่ แผนใหม่ หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่มันคงไม่ได้ต่างอะไรไปจากสิ่งที่บรรดาผู้นำและนักวิชาการจำนวนประมาณ 1,000 คน ลงความเห็นเอาไว้ในเอกสารรายงานเรื่อง “Global Risk Report” และถูกนำเสนอเผยแพร่ในระหว่างเวทีการประชุม “World Economic Forum” เมื่อวัน-สองวันนี้นั่นแหละว่า มันคือ “การเมืองแบบชาตินิยม” ที่กำลังกลายเป็นตัวสร้าง “ความเสี่ยง” และเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อความร่วมมือต่างๆ ของโลก อีกทั้งอาจกลายเป็นตัวถ่วงรั้ง และฉุดดึงให้ระบบเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก ต้อง “ชะลอตัว” หรือ “ถดถอย” เอาง่ายๆ หรือถ้า “แปลไทยเป็นไทย” เอาไว้อีกเที่ยว ก็คือด้วยเหตุเพราะ “ความเห็นแก่ตัว” นั่นเอง...ที่อาจส่งผลให้ “ระเบียบโลก” ไม่ว่าแบบไหน ต่อแบบไหน ต่างมีสิทธิ์ “ล่มสลาย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
กำลังโหลดความคิดเห็น