xs
xsm
sm
md
lg

เชือดแพะที่กรุงไทย สะเทือนถึงบางขุนพรหม

เผยแพร่:   โดย: นพ นรนารถ


นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา กรณีผลสอบสวนนายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ อดีตรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ปัจจุบันเป็นซีอีโอธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ว่า เนื่องจากอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรม และธปท.เห็นว่า ยังมีข้อมูลที่ต้องให้ธนาคารกรุงไทยชี้แจงเพิ่มเติมในบางประเด็น ขณะนี้จึงอยู่ระหว่างการรอข้อมูลดังกล่าว เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

นับเป็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของแบงก์ชาติ หลังจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ นายกิตติพันธ์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เสนอข้อมูลในมุมของเขา ซึ่งไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน

นายกิตติพันธ์ถูกคณะกรรมการตรวจสอบชุดพิเศษ กรณีสินเชื่อบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) 12,000 ล้านบาท เป็นเอ็นพีแอล กล่าวหาว่า “ไม่รักษาประโยชน์ของธนาคาร และปฏิบัติงานไม่สมกับหน้าที่ให้ลุล่วงไปอย่างถูกต้อง และสุจริต รวมถึงใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยทุจริต โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อบุคคลภายนอกและตนเอง เป็นเหตุให้ธนาคารได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก”

เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง และจะมีผลต่อตำแหน่งซีอีโอ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยของนายกิตติพันธ์ในปัจจุบัน และอาชีพนายธนาคารในอนาคต หากแบงก์ชาติเชื่อในผลสอบสวนของธนาคารกรุงไทย

ที่สำคัญคือ หากกรณีเอ็นพีแอลของเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ถูก “ตัดตอน” ให้จบแค่เชือดนายกิตติพันธ์ กับผู้บริหารระดับกลางพนักงานจำนวนหนึ่ง แบงก์ชาติจะถูก “ปิดตา” ไม่มองหาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจจะเป็นต้นตอที่แท้จริงปัญหาหนี้เสียของเอิร์ธ ซึ่งเป็นเอ็นพีแอลที่ใหญ่ที่สุดกรณีหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น

นายกิตติพันธ์ เป็นผู้ขออนุมัติสินเชื่อ 2 วงเงินของเอิร์ธ มูลค่ารวมกันประมาณ 4,500 ล้านบาท เมื่อพ.ศ. 2558 คำขอสินเชื่อผ่านการประเมินความเสี่ยงของฝ่ายบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการกลั่นกรองสินเชื่อ และได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยเป็นขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาสินเชื่อตามปกติของธนาคารทั่วไป

ตอนนั้น เอิร์ธเป็นลูกค้าชั้นดีของกรุงไทย ไม่เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ งบการเงินผ่านการรับรองจากบริษัท PWC ทุกปี หลังจากที่สินเชื่อ 2 วงเงินดังกล่าวได้รับการอนุมัติปลายปี 2558 ธนาคารกรุงไทยเป็นอันเดอร์ไรเตอร์ออกหุ้นกู้ 2 ชุด มูลค่ารวมกัน 5,500 ล้านบาท จำหน่ายให้นักลงทุนรายย่อย 2,300 คน ข้อมูลเอิร์ธในแบบเปิดเผยข้อมูลที่ฝ่ายตราสารตลาดทุนของธนาคารกรุงไทย ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่นายกิตติพันธ์ ใช้ประกอบการขออนุมัติสินเชื่อ

การที่ ก.ล.ต.อนุมัติให้เอิร์ธออกหุ้นกู้ได้ และต่อมา บริษัทจัดอันดับเครดิต หรือ ทริส ให้เรตติ้ง BB – หุ้นกู้ทั้งสองชุด เป็นการรับรองว่า ข้อมูลดังกล่าวถูกต้อง

นายกิตติพันธ์ออกจากธนาคารกรุงไทยเมื่อปลายปี 2559 ปัญหาเอ็นพีแอลของเอิร์ธ เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2560 เดือนสิงหาคม ธนาคารกรุงไทยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบนายกิตติพันธ์ถูกเชิญไปชี้แจง ต่อมาในเดือนตุลาคม เขาได้รับหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาว่า ข้อมูลที่นำเสนอเพื่อขอสินเชื่อไม่ตรงกับข้อเท็จจริง โดยไม่มีรายละเอียดอื่นๆ นอกเหนือจากนี้

อีก 14 เดือนต่อมา เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เพิ่มขึ้นมาจากครั้งแรก โดยที่ไม่เคยถูกคณะกรรมการตรวจสอบชุดพิเศษ ที่มีนายสมชัย บุญนำศิริ เป็นประธาน เรียกไปชี้แจงเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงเข้าข่าย “ศาลเตี้ย” เพราะตั้งข้อหาเอง พิพากษาเอง ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสแก้ต่าง

ในบรรดาผู้ที่ถูกคณะกรรมการชุดดังกล่าวกล่าวโทษ ไม่มีกรรมการบริหารเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่การอนุมัติสินเชื่อของเอิร์ธ คณะกรรมการบริหารเป็นผู้อนุมัติ แต่กรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้อนุมัติสินเชื่อ กลับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบ

สินเชื่อที่กรุงไทยให้กับเอิร์ธมีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท สินเชื่อที่นายกิตติพันธ์เสนออนุมัติเป็นส่วนหนึ่งของสินเชื่อทั้งหมด และในตอนที่เกิดเอ็นพีแอล เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2560 สินเชื่อทั้งสองวงเงินนี้เป็นสินเชื่อปกติ ชำระเงินต้น ดอกเบี้ย ตรงเวลา

เรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ไม่ยาก ตรวจสอบได้ทุกเวลา เพราะการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของเอิร์ธ ต้องถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานอยู่แล้ว

สินเชื่อทั้งสองวงเงินนี้ กลายเป็นเอ็นพีแอลก็เพราะว่า มีสินเชื่อบางส่วนในวงเงินสินเชื่อทั้งหมด ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้สินเชื่อทั้งหมดเป็นเอ็นพีแอลไปด้วย แม้ว่า สินเชื่อบางวงเงินจะไม่ใช่เอ็นพีแอลในตัวเอง

กลางปี 2560 ตลาดตั๋วบี/อี หรือตั๋วแลกเงินระยะสั้น เกิดปัญหาผู้ออกตั๋วหลายราย รวมทั้งเอิร์ธผิดนัดชำระหนี้ จึงไม่สามารถเป็นแหล่งเงินกู้ระยะสั้นได้ ทำให้เอิร์ธ มีปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถชำระหนี้บางส่วนให้กรุงไทยได้

ตามกฎแบงก์ชาติ หนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอล คือ หนี้ที่ไม่ชำระต้นและดอกเบี้ยติดต่อกันนาน 90 วัน ระยะเวลา 90 วันนี้ในทางปฏิบัติคือให้เจ้าหนี้กับลูกหนี้ร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อให้กิจการลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้ และเจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้ตามปกติ

สมัยที่แบงก์กรุงไทยให้สินเชื่อกลุ่มสหวิริยา 20,000 ล้านบาท เพื่อไปซื้อโรงเหล็กที่อังกฤษ เมื่อปี 2554 ต่อมามีปัญหาการชำระหนี้ ผู้บริหารกรุงไทยในตอนนั้น ให้เวลาสหวิริยาเกือบสองปีในการแก้ไขปัญหา จนในที่สุด แบงก์ชาติต้องสั่งให้กรุงไทย ตั้งสำรองหนี้ 100% คือ เป็นเอ็นพีแอล

กรณีของเอิร์ธมีปัญหาชำระหนี้ 200 ล้านบาท จากวงเงินสินเชื่อทั้งหมด 12,000 ล้านบาท ผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจเพิ่มหรือลดวงเงินไม่ยอมผ่อนผัน ทำให้หนี้ที่มีปัญหา 200 ล้านบาทฉุดหนี้ทั้งหมด 12,000 ล้านบาทให้เป็นเอ็นพีแอลภายในเวลาเพียง 1 เดือน ทั้งๆ ที่สามารถผ่อนผันยืดเวลาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ถึง 3 เดือน

เรื่องการทุจริตการใช้เงินผิดประเภท การทำเอกสารปลอมของผู้บริหารเอิร์ธ ที่เป็นข่าวหลังเกิดปัญหาเอ็นพีแอล ทำให้เอิร์ธเป็นผู้ร้าย ในขณะที่เจ้าหนี้ซึ่งรวมทั้งแบงก์กรุงไทยเป็นผู้เสียหาย ทำให้เรื่องทำไมเอิร์ธเป็นเอ็นพีแอลอย่างฉับพลันถูกละเลย และเมื่อธนาคารกรุงไทยชี้นิ้วหาคนที่ต้องรับผิดชอบได้แล้ว คือ นายกิตติพันธ์ กับพนักงานอีกประมาณ 10 กว่าคน ก็ดูเหมือนว่า แบงก์กรุงไทยสามารถปิดคดีได้

แต่แบงก์ชาติในฐานะผู้กำกับดูแลระบบการเงิน และสถาบันการเงินของชาติ ไม่ควรให้ความสนใจเพียงแค่คุณสมบัติของผู้ที่ถูกกล่าวหา ในเมื่อนายกิตติพันธ์ แก้ต่างว่า เขาเสนออนุมัติสินเชื่ออย่างถูกต้อง และสินเชื่อเหล่านั้นเป็นสินเชื่อปกติ และข้อเท็จจริงที่ว่า สินเชื่อของเอิร์ธกลายเป็นเอ็นพีแอลในเวลาอันรวดเร็วคือ 1 เดือน โดยที่วงเงินสินเชื่อที่เป็นสาเหตุก็มีเพียง 200 ล้านบาท จากสินเชื่อทั้งหมด 12,000 ล้านบาท แบงก์ชาติควรจะสงสัยเยี่ยงปุถุชนทั่วไปว่า เหตุใดผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ที่มีอำนาจในการเพิ่มหรือลดวงเงินสินเชื่อ จึงตัดสินใจลอยแพลูกหนี้ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี แทนที่จะช่วยเหลือหาทางเยียวยาแก้ไขในขอบเขตที่สามารถทำได้เสียก่อน

สมมติว่า ธนาคารกรุงไทยยอมผ่อนผันให้เอิร์ธให้เวลาแก้ไขหนี้ เอิร์ธอาจจะรอดไม่เป็นเอ็นพีแอล ธนาคารกรุงไทยไม่เสียหาย ผู้ถือหุ้นรายย่อยเอิร์ธ 7,000 คน ผู้ถือหุ้นกู้อีก 2,300 คนไม่สูญเงินลงทุน หรืออาจจะไม่รอดเหมือนกรณีสหวิริยาที่ธนาคารกรุงไทยยอมประคับประคองนานเกือบสองปี

แต่ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยไม่ให้โอกาสเอิร์ธ ทั้งๆ ที่หลักเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของแบงก์ชาติมีเงื่อนไขที่ทำได้ กลับตัดสินใจลอยแพลูกค้ารายนี้ทันที

ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 11/2561 ระบุว่า กรรมการผู้จัดการ ผู้มีอำนาจในการจัดการสถาบันการเงิน นอกจากคุณสมบัติในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริต และชื่อสียงแล้วยังต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ที่จำเป็นและเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบในระดับที่ผู้ประกอบวิชาชีพการเงินการธนาคารพึงมี

เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องการให้ความเป็นธรรมกับนายกิตติพันธ์เท่านั้น เรื่องใหญ่กว่า คือ การเปิดใต้พรมที่แบงก์กรุงไทยดูว่า มีขยะอะไรถูกกวาดไปซุกเอาไว้หรือเปล่า ธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงให้รอบด้าน ครบถ้วน ข้อเท็จจริง ที่คณะกรรมการชุดตรวจสอบพิเศษของธนาครกรุงไทย ไม่สนใจจะตรวจสอบเพื่อเป็นบทเรียนป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดียวกันนี้ในอนาคต

ถ้าไม่ทำ นอกจากจะแสดงถึงความรู้ไม่เท่าทันแล้ว ยังอาจถูกกล่าวหาได้ว่า แบงก์ชาติไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น