**ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมาขณะไปตรวจเยี่ยมโครงการของรัฐบาล และพบปะกับประชาชนในเขต ลาดกระบัง และหนองจอก กรุงเทพมหานคร จะเรียกว่าทุกความเคลื่อนไหวที่เห็นรับรองว่าระดับนักการเมือง หรือ"นักเลือกตั้ง" มืออาชีพ ต้องอายม้วนไปเลยก็ว่าได้
เพราะแต่ละลีลาไม่ว่าจะเป็น "ลูกอ้อน"กับชาวบ้าน รวมไปถึงการ "ทำกิจกรรม"ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ พูดได้คำเดียวว่า"มันสุดยอด"มาก เพราะลองถึงขนาดใส่ชุดชาวนา ลงมือเกี่ยวข้าว รำวง ลูกอ้อน บอกว่า "อย่ารังเกียจ" แต่ละอย่างเรียกว่า นี่แหละ"ใช่เลย" ขาดแต่เพียง"พวงมาลัยดอกดาวเรือง" คล้องคอที่เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น นอกนั้นถือว่า ครบเครื่อง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวในลักษณะแบบนี้ถือว่า สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการพัฒนาไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ขณะที่เดินทางไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจชาวบ้านทางภาคใต้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นปาบึก เขาก็ได้ลงมือปรุง "คั่วกลิ้ง" อาหารจานเด็ดสำหรับพี่น้องชาวใต้ให้ได้ชิมกัน นอกเหนือจากการใช้มาตรการช่วยเหลือที่ได้มีการสั่งการให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั่วถึง โดยให้สำรวจความเสียหายแล้วเสร็จภายใน 15 วัน เพื่อจะได้ช่วยเหลือเยียวยา
**ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คราวนั้นถือว่าทำได้ครอบคลุม หากเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคพรรคการเมือง ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะการไปเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ที่เป็นจิตอาสา ลงไปในพื้นที่ประสบภัย และทีเด็ดก็คือ การปีนหลังคา "ตอกตะปู มุงกระเบื้อง" แม้จะมีเสียงค่อนขอดตามมาว่า ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยืนยันในทำนองว่า เหมือนกับไป"ร่วมทุกข์ร่วมสุข" รับรู้อารมณ์ของชาวบ้านที่ยากจน และยังต้องมาประสบภัยแบบนี้อีก ซึ่งงานนี้เชื่อว่าได้ใจชาวบ้านไปเต็มๆ
แต่ทุกพื้นที่ที่เขาลงไปจะย้ำอย่างหนักแน่นตลอดเวลา "ผมไม่ได้มาหาเสียง" หรือ "ไม่ได้มาการเมือง" ไม่ได้ต้องการให้ใครมารัก แต่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน หากมองในอีกมุมหนึ่ง แบบนี้แหละที่เรียกว่า "สุดยอดการเมือง" เป็นนักการเมืองชั้นเซียนไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้ หากมาพิจารณาจากพื้นที่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงไป หากตัดเอากรณีลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการไปเยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติเป็นเรื่องที่สมควรทำ และต้องชื่นชมในฐานะเป็นผู้บริหารบ้านเมือง แต่ในกรณีการลงพื้นที่ เขตลาดกระบัง และหนองจอก กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา รวมไปถึงในสัปดาห์หน้า วันที่ 14-15 มกราคม ที่เขาจะยกคณะขึ้นเหนือ ไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง ถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหากพิจารณาจากพื้นที่ทั้งหมดดังกล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น เขตลาดกระบัง หนองจอก เชียงใหม่ และลำปาง ล้วนเป็นพื้นที่ฐานเสียงของฝ่ายตรงข้าม อย่างพรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร มาอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะในภาคเหนือ ก็ถือว่าเป็นฐานหลัก ขณะที่เชียงใหม่ อาจเคยมีการเปรียบเปรยกันถึงขั้น เมืองหลวงทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และคนในครอบครัวชินวัตร กันเลยทีเดียว
แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงจะย้ำอีกว่า "ไม่ได้มาการเมือง หรือไม่ได้มาหาเสียง" แต่ทุกความเคลื่อนไหว คนภายนอกแทบจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า นี่คือการเมือง เพียงแต่ว่าการเมืองในแบบที่ "ยังไม่ชัดเจน" เพราะก่อนหน้านี้ เขาเพียงแสดงท่าทีให้เห็นเพียงแค่ว่า "สนใจการเมือง" ยังมีเวลาตัดสินใจ รวมไปถึงยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยอมให้พรรคการเมืองไหน เสนอชื่อในบัญชีนายกฯ
มองอีกมุมหนึ่งการ "ไม่ยอมให้ชัดเจน" แบบนี้มันก็เหมือนกับการ"เบนเป้า" ไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้านิ่ง ถูกรุมกระหน่ำก่อนเวลาอันควร เพราะขนาดยังไม่ชัดแบบนี้ ยังโดนเสียเกือบน่วมไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับ"บิ๊กตู่"แล้ว หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้ว ถือว่ามักจะมีอะไร "เหนือความคาดหมาย" อยู่เสมอ เมื่อถึงเวลาอาจจะมีเซอร์ไพรส์อีกก็ได้ แต่เอาเป็นว่า การเคลื่อนไหวที่เห็นในตอนนี้หากบอกว่าไม่ใช่การเมือง หรือมาหาเสียง แต่ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามร้องจ๊าก เพราะหากมองว่านี่มัน"หาเสียงสะสมล่วงหน้า" ก็น่าจะเข้าข่าย
แต่ถึงอย่างไร เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขาอาจ "ถอยฉาก" กลับบ้านอย่างสง่างาม ก็ได้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมา ถือว่าเป็นการสร้างมาตรฐานเอาไว้ให้ชาวบ้านได้จดจำ และพูดถึงตลอด เพราะจะว่าไปแล้ว ในช่วงอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลา 5 ปี ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว อีกทั้งมีการมองกันว่าเส้นทางข้างหน้า หากไปต่อ มันไม่ง่ายที่ต้องร่วมงานกับนักการเมือง "เขี้ยวลากดิน"
ดังนั้น นาทีนี้สำหรับการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะยังไม่ชัวร์ว่าจะไปต่อหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นต้องบอกว่ายิ่งการนักการเมือง จนฝ่ายตรงข้ามต้องร้องกรี๊ด !!
เพราะแต่ละลีลาไม่ว่าจะเป็น "ลูกอ้อน"กับชาวบ้าน รวมไปถึงการ "ทำกิจกรรม"ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ พูดได้คำเดียวว่า"มันสุดยอด"มาก เพราะลองถึงขนาดใส่ชุดชาวนา ลงมือเกี่ยวข้าว รำวง ลูกอ้อน บอกว่า "อย่ารังเกียจ" แต่ละอย่างเรียกว่า นี่แหละ"ใช่เลย" ขาดแต่เพียง"พวงมาลัยดอกดาวเรือง" คล้องคอที่เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น นอกนั้นถือว่า ครบเครื่อง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวในลักษณะแบบนี้ถือว่า สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการพัฒนาไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ขณะที่เดินทางไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจชาวบ้านทางภาคใต้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นปาบึก เขาก็ได้ลงมือปรุง "คั่วกลิ้ง" อาหารจานเด็ดสำหรับพี่น้องชาวใต้ให้ได้ชิมกัน นอกเหนือจากการใช้มาตรการช่วยเหลือที่ได้มีการสั่งการให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทั่วถึง โดยให้สำรวจความเสียหายแล้วเสร็จภายใน 15 วัน เพื่อจะได้ช่วยเหลือเยียวยา
**ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คราวนั้นถือว่าทำได้ครอบคลุม หากเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคพรรคการเมือง ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะการไปเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ที่เป็นจิตอาสา ลงไปในพื้นที่ประสบภัย และทีเด็ดก็คือ การปีนหลังคา "ตอกตะปู มุงกระเบื้อง" แม้จะมีเสียงค่อนขอดตามมาว่า ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยืนยันในทำนองว่า เหมือนกับไป"ร่วมทุกข์ร่วมสุข" รับรู้อารมณ์ของชาวบ้านที่ยากจน และยังต้องมาประสบภัยแบบนี้อีก ซึ่งงานนี้เชื่อว่าได้ใจชาวบ้านไปเต็มๆ
แต่ทุกพื้นที่ที่เขาลงไปจะย้ำอย่างหนักแน่นตลอดเวลา "ผมไม่ได้มาหาเสียง" หรือ "ไม่ได้มาการเมือง" ไม่ได้ต้องการให้ใครมารัก แต่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน หากมองในอีกมุมหนึ่ง แบบนี้แหละที่เรียกว่า "สุดยอดการเมือง" เป็นนักการเมืองชั้นเซียนไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้ หากมาพิจารณาจากพื้นที่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงไป หากตัดเอากรณีลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการไปเยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติเป็นเรื่องที่สมควรทำ และต้องชื่นชมในฐานะเป็นผู้บริหารบ้านเมือง แต่ในกรณีการลงพื้นที่ เขตลาดกระบัง และหนองจอก กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา รวมไปถึงในสัปดาห์หน้า วันที่ 14-15 มกราคม ที่เขาจะยกคณะขึ้นเหนือ ไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และลำปาง ถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหากพิจารณาจากพื้นที่ทั้งหมดดังกล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น เขตลาดกระบัง หนองจอก เชียงใหม่ และลำปาง ล้วนเป็นพื้นที่ฐานเสียงของฝ่ายตรงข้าม อย่างพรรคเพื่อไทย ของ ทักษิณ ชินวัตร มาอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะในภาคเหนือ ก็ถือว่าเป็นฐานหลัก ขณะที่เชียงใหม่ อาจเคยมีการเปรียบเปรยกันถึงขั้น เมืองหลวงทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และคนในครอบครัวชินวัตร กันเลยทีเดียว
แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คงจะย้ำอีกว่า "ไม่ได้มาการเมือง หรือไม่ได้มาหาเสียง" แต่ทุกความเคลื่อนไหว คนภายนอกแทบจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า นี่คือการเมือง เพียงแต่ว่าการเมืองในแบบที่ "ยังไม่ชัดเจน" เพราะก่อนหน้านี้ เขาเพียงแสดงท่าทีให้เห็นเพียงแค่ว่า "สนใจการเมือง" ยังมีเวลาตัดสินใจ รวมไปถึงยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยอมให้พรรคการเมืองไหน เสนอชื่อในบัญชีนายกฯ
มองอีกมุมหนึ่งการ "ไม่ยอมให้ชัดเจน" แบบนี้มันก็เหมือนกับการ"เบนเป้า" ไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้านิ่ง ถูกรุมกระหน่ำก่อนเวลาอันควร เพราะขนาดยังไม่ชัดแบบนี้ ยังโดนเสียเกือบน่วมไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับ"บิ๊กตู่"แล้ว หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้ว ถือว่ามักจะมีอะไร "เหนือความคาดหมาย" อยู่เสมอ เมื่อถึงเวลาอาจจะมีเซอร์ไพรส์อีกก็ได้ แต่เอาเป็นว่า การเคลื่อนไหวที่เห็นในตอนนี้หากบอกว่าไม่ใช่การเมือง หรือมาหาเสียง แต่ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามร้องจ๊าก เพราะหากมองว่านี่มัน"หาเสียงสะสมล่วงหน้า" ก็น่าจะเข้าข่าย
แต่ถึงอย่างไร เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขาอาจ "ถอยฉาก" กลับบ้านอย่างสง่างาม ก็ได้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมา ถือว่าเป็นการสร้างมาตรฐานเอาไว้ให้ชาวบ้านได้จดจำ และพูดถึงตลอด เพราะจะว่าไปแล้ว ในช่วงอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลา 5 ปี ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว อีกทั้งมีการมองกันว่าเส้นทางข้างหน้า หากไปต่อ มันไม่ง่ายที่ต้องร่วมงานกับนักการเมือง "เขี้ยวลากดิน"
ดังนั้น นาทีนี้สำหรับการเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะยังไม่ชัวร์ว่าจะไปต่อหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นต้องบอกว่ายิ่งการนักการเมือง จนฝ่ายตรงข้ามต้องร้องกรี๊ด !!