xs
xsm
sm
md
lg

วัดช่วงชกระหว่าง “หัวเว่ย” กับ “แอปเปิล” (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


สำหรับการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่นของระบบการสื่อสารด้วยโทรศัพท์ไร้สาย หรือโทรศัพท์มือถือจากรุ่น 3G เป็น 4G และกำลังจะเป็น 5G นั้น ว่าไปแล้ว...มันอาจพอๆ กับการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดิสก์จากระบบ CD ไปเป็น DVD อะไรทำนองนั้น ที่เล่นเอาร้านเช่าวิดีโอแต่ละร้านแทบหงายหลังกันไปเป็นแถบๆ ถ้าหาก “ปรับตัว” ไม่ทัน หรือ “ตั้งหลัก” ไม่ทัน หรืออาจพอๆ กับการที่โทรทัศน์แต่ละค่าย แต่ละช่อง ต้องหันมาเปลี่ยนระบบ หันมาใช้เทคโนโลยี “HD” หรือ “High-Definition” เพื่อเพิ่มความคม-ชัด-ลึกกันไปเป็นช่องๆ อย่างมิอาจปฏิเสธ...

ด้วยระดับความเร็วในการเชื่อมต่อจากไม่กี่ร้อยเมกะไบต์ของรุ่น 3G-4G กลายมาเป็นระดับ 1 กิ๊กกะไบต์ โดยรุ่น 5G ระยะเวลาในการเชื่อมต่อเหลือแค่ 0.001 วินาที ระดับความเสถียรเพิ่มขึ้นเป็น 99.9999 เปอร์เซ็นต์ ความครอบคลุมพื้นที่สูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ลดพลังงานในการเชื่อมต่อได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้การสื่อสารไร้สายรุ่น 3G-4G ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหลีกทางให้กับรุ่น 5G ไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องเล่น CD ต้องหลีกทางให้กับเครื่องเล่น DVD กันจนได้ ซึ่งการเปลี่ยนเครื่องเล่น CD ให้กลายมาเป็น DVD ในแง่ของระบบการสื่อสารไร้สายแล้ว ย่อมหมายถึงต้องเปลี่ยนระบบ เปลี่ยนชิป เปลี่ยนคลื่นความถี่กันใหม่หมด ให้มีขนาดกว้างขึ้นๆ คล้ายๆ ต้อง “ขยายซอย” ให้กลายเป็น “ถนน” อะไรประมาณนั้น...

ด้วยเหตุนี้...บรรดาประเทศใดๆ ก็ตาม ที่ต้องการดู DVD ไม่ใช่แค่ CD เลยต่างต้องหันมา “ขยายซอย” ให้กลายเป็น “ถนน” กันไปเป็นแถบๆ หรือต้องหันมาเปลี่ยนระบบ ปรับระบบ วางระบบเพื่อรองรับการสื่อสารไร้สายรุ่น 5G กันไปเป็นรายๆ ไม่ว่าอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี ฟินแลนด์ ฯลฯ หรือแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะยังต้องดิ้นรนกระวนกระวายเตรียมหาทางปรับระบบเพื่อรองรับการสื่อสารไร้สายรุ่น 5G กันบ้างแล้ว ซึ่งภายใต้ระบบที่ว่านี้ ก็มิอาจปฏิเสธได้อีกเช่นกัน ว่าบริษัทผู้ผลิตระบบการสื่อสารไร้สาย อย่างบริษัท “หัวเว่ย” ของจีนเขานั่นแหละ กลายเป็นบริษัทที่มาแรงแซงโค้ง หรือได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้นำ” ของเทคโนโลยีประเภทนี้ไปแล้ว เมื่อถึง ณ ขณะนี้...

แม้แต่ “ประมุขแห่งยุทธจักรมือถือ” อย่างบริษัท “แอปเปิล” ของอเมริกา...ก็ยังโดนเบียด โดนแซงแถวๆ โค้งวัดเบญจะฯ เอาดื้อๆ ชนิด iPhone ทุกวันนี้ ยังคงต้องอาศัยระบบการสื่อสารรุ่น 3G-4G เป็นตัวรองรับไปพลางๆ กว่าจะเริ่มเปิดตัว iPhone ที่อาศัยการสื่อสารรุ่น 5G เป็นตัวรองรับ ต้องยืดเวลาออกไปเป็นปี ค.ศ. 2020 กันแทนที่ ขณะ “รองประมุขยุทธจักร” อย่างบริษัท “ซัมซุง” ของเกาหลีใต้กะจะเปิดตัวกันภายในปีนี้ (2519) แต่สำหรับ “ผู้ช่วยประมุข” หรือบริษัทมือถืออันดับ 3 อย่าง “หัวเว่ย” ด้วยการทุ่มทุน ทุ่มเท ในการวิจัยและพัฒนาแบบชนิดแทบหมดหน้าตัก เลยทำให้ขีดความสามารถในการขยายซอยให้เป็นถนน หรือการ “เปลี่ยนชิป” ที่ช่วยให้เกิดการรองรับระบบสื่อสารรุ่น 5G จึงก้าวหน้า ลื่นไหลกว่าใครเพื่อน...

ด้วยการมาแรงแซงโค้งในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันของ “ทรัมป์บ้า” เลยต้องหาทาง “เตะตัดขา” บริษัท “หัวเว่ย” ของจีนอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ ไม่ว่าด้วยการสร้างภาพประธานผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง “นายเหริน เจิ้งเฟย” (Ren Zhengfei) ให้กลายเป็น “ปิศาจคอมมิวนิสต์คืนชีพ” เป็นอดีตนายทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ต้องยุให้รัฐบาลแคนาดารวบตัว “คุณนายเมิ่ง” หรือ “นางเมิ่ง หว่านโจว” (Meng Wanzhou) ลูกสาวประธานบริษัท “หัวเว่ย” คาสนามบินแคนาดา ต้องตั้งข้อกล่าวหาว่าเครื่องไม้ เครื่องมือ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี ของบริษัท “หัวเว่ย” นั้น สามารถนำมาใช้ล้วงตับ ล้วงความลับใครต่อใคร ไปให้กับรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนอาจก่อให้เกิด “ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี” เอาง่ายๆ ไปจนถึงการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว หรือกระทั่งบีบบังคับให้รัฐบาลแต่ละประเทศที่กำลังคิดจะหันไปดู DVD แทน CD หรือหันไปวางระบบรองรับการสื่อสารรุ่น 5G ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ เลิกใช้เครื่องมือและการบริการของบริษัท “หัวเว่ย” โดยเด็ดขาด...ฯลฯ...

ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว...บริษัทอเมริกันอย่าง “แอปเปิล” นั้น ไม่เพียงถูกกล่าวหาในเรื่องการประกอบธุรกิจอย่างไม่มีจริยธรรม การกีดกันคู่แข่ง การใช้แรงงานทาส ฯลฯ มาโดยตลอด ยังถูกกล่าวหา ถูกซุบซิบนินทา ว่าเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่าง “NSA” หรือ “United States National Security Agency” ที่อาศัยกฎหมายความมั่นคงที่เรียกว่า “Protect America Act” เปิดโอกาสให้หน่วยงานแห่งนี้สามารถ “ล้วงตับ” หรือสามารถเรียกข้อมูลใดๆ ก็ตามจากผู้ที่ใช้เครื่องมือ สินค้าและการบริการของบริษัท “แอปเปิล” ไปใช้ประโยชน์ให้กับรัฐบาลอเมริกันได้เสมอๆ ชนิดบรรดาลูกค้าหรือผู้บริโภคสินค้าแบรนด์เนมยี่ห้อ “แอปเปิล” ต่างตกอยู่ภายใต้ “ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี” มาตราบนานเท่านาน แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อบริษัทที่เป็นตัวสร้างรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจอเมริการะดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ดันไปพลาดท่าเสียทีให้กับ “คู่แข่ง” อย่างบริษัท “หัวเว่ย” ของจีน ทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างเห็นได้ชัด รัฐบาลอเมริกันก็เลยต้องโดดลงมาไล่เตะ ไล่ถีบ บริษัทจีน ชนิดกะจะเอาให้ตายกันไปข้าง...

อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าบริษัท “หัวเว่ย” ของจีน จะถูกเสียบขาหลัง ดึงเสื้อ ถ่มถุย ชนิดสะบักสะบอมกันไปไม่น้อย แต่การที่บริษัท Information Technology ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “แอปเปิล” ของอเมริกา กลับดันออกอาการหะมอยรอมแรมตั้งแต่บัดนี้ หุ้นร่วง หุ้นตก ชนิดมูลค่าการตลาดระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หายไปถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ เหลือแค่ 700,000 ล้านดอลลาร์ หรือลดไปถึง 9 เปอร์เซ็นต์กันเห็นๆ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้การแข่งขันภายใต้ “อนาคตแห่งการสื่อสารด้วยโทรศัพท์มือถือรุ่น 5G” หรือ “5th Generation of Cellular Communications” ที่ว่ากันว่าจะเริ่มดุเดือดรุนแรง นับตั้งแต่ปีนี้ หรือปี ค.ศ. 2019 เป็นต้นไป ก็น่าจะเป็นไปในแบบ “หงษ์แดง-ลิเวอร์พูล” เจอกับ “ผีแดง-แมนยูฯ” อะไรประมาณนั้นคือ “หัวเว่ย” น่าจะเป็นต่อ “แอปเปิล” ประมาณ 5-2 หรือ 4-1 แบบไม่ทดเวลาบาดเจ็บ และไม่ควบลูกครึ่ง ใครสนใจจะต่อจะรองก็ติดต่อหลังไมค์ได้เลย...
กำลังโหลดความคิดเห็น