“สนธิรัตน์”เดินหน้าพัฒนาธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุ รองรับสังคมสูงวัยในไทย และดึงดูดให้ผู้สูงวัยจากต่างประเทศ เข้ามาใช้บริการ เตรียมนัดหารือผู้ประกอบการ ร่วมกันขับเคลื่อน ก่อนทำแผนชงรัฐบาลสนับสนุน มั่นใจไทยเป็นฮับในภูมิภาคได้แน่ เหตุไทยมีความพร้อม ทั้งที่พัก กิจกรรม
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่าได้นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27-28 ธ.ค.ที่ผ่านมา และได้เข้าหารือกับผู้บริหารศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้ การพัฒนาของบริษัทที่ดูแลผู้สูงอายุ ว่าเริ่มต้นอย่างไร มีแนวทางการดำเนินการแบบไหน เพราะไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ และต้องวางแผนการใช้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
"ไทยเรากำลังมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมความพร้อม เตรียมพัฒนาธุรกิจรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนไทยเก่ง และปัจจุบันก็มีการให้บริการบ้านพักสำหรับผู้สูงอายุ มีบริการดูแลถึงบ้าน มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ดูแลผู้สูงอายุ มีกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ แต่เรายังขาดการเชื่อมโยง ซึ่งผมจะนัดหารือผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อมาขับเคลื่อนร่วมกัน ทำแผนร่วมกัน และถ้าเห็นว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนอะไร ก็จะช่วยผลักดัน"
ทั้งนี้ปัญหาที่พบเห็นคือ ไทยยังขาดธุรกิจที่ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจะต้องพัฒนาให้มีธุรกิจที่จะเข้ามาดูแลผู้สูงอายุในทุกๆระดับ ตั้งแต่ผู้มีรายได้น้อย ปานกลาง และรายได้สูง รวมถึงผู้สูงอายุจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาใช้บริการในไทย ขณะที่ภาครัฐ ยังขาดระบบหรือสิ่งจูงใจในการลงทุน เช่น ระบบการประกันสุขภาพ ระบบภาษีที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ การอนุญาต ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมาคิดใหม่ ทำใหม่หมด เพื่อสร้างแรงจูงใจ ในการลงทุน
หากส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุให้เข้มแข็ง ไม่เพียงแต่ช่วยรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย แต่ยังจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ)ในภูมิภาค และสามารถดึงดูดผู้สูงอายุจากประเทศต่างๆ ให้เข้ามาใช้บริการในไทยด้วย
สำหรับการหารือกับผู้บริหารธุรกิจดูแลผู้สูงวัยของญี่ปุ่น ได้ทราบประสบการณ์และแนวทางการทำงาน โดยเฉลี่ยมีการดำเนินธุรกิจมาแล้วประมาณ 20 ปี เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นได้มองเห็นถึงปัญหานี้มานานแล้ว และปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีธุรกิจให้บริการในญี่ปุ่น แต่ยังได้ขยายการลงทุนออกไปยังประเทศต่างๆรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งกระทรวงฯได้ใช้โอกาสนี้ชักจูงให้เพิ่มการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น หรือร่วมมือกับผู้ประกอบการของไทยในการขยายธุรกิจ
สำหรับบริษัทที่ได้เข้าหารือได้แก่ บริษัท Medical Care Service ทำธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุ เปิดแห่งแรกในจังหวัดไซตามะ ปี 2001 ต่อมาเปิดอีกหลายประเภท ปัจจุบันมีบ้านพักผู้สูงอายุรวม 303 แห่งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ และยังดำเนินธุรกิจจำหน่าย และให้เช่าอุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุทั้งบุคคลทั่วไป และบ้านพักผู้สูงอายุ รวมทั้งมีธุรกิจบริการอาหารสำหรับผู้สูงอายุ สำหรับบ้านพักผู้สูงอายุ และยังมีการลงทุนเปิดบ้านพักผู้สูงอายุในจีน 3 แห่ง มาเลเซีย 1 แห่ง ขณะที่บริษัท Friend Corporation ดำเนินธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุในญี่ปุ่น 9 แห่ง และได้เปิดสาขาในไทย ชื่อ บริษัท เบสท์ เอเชี่ยน เฟรนด์ จำกัด ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2012 ดำเนินธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุ และ ปี 2016 เปิดร้านจำหน่ายอุปกรณ์ และให้การดูแลผู้สูงอายุครบวงจร เช่น เตียงนอนไฟฟ้า รถเข็น และยังมีบริการให้คำปรึกษาเรื่องการดูแลผู้สูงวัย โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวญี่ปุ่น ชาวต่างประเทศ และชาวไทย ส่วนบริษัท RIEI ให้บริการบ้านที่พักอาศัย เช่น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และบริการด้านอาหาร ก่อนเข้าสู่ธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุ โดยปัจจุบัน มีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 47 แห่งในญี่ปุ่น และเปิดสาขาในต่างประเทศ 6 แห่ง อยู่ในจีน 5 แห่ง และไทย 1 แห่ง ที่ลาดพร้าว ในชื่อ RIEI Nursing Home Ladprao เปิดให้บริการ ปี 2016
ปัจจุบัน มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในไทย 72,754 คน คิดเป็นอันดับ 4 ของประเทศที่ชาวญี่ปุ่นไปอยู่อาศัย รองจากสหรัฐฯ จีน และออสเตรเลีย โดยอยู่ในกรุงเทพฯ 52,871 คน ที่เหลือกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สมุทรปราการ อยุธยา ปราจีนบุรี ภูเก็ต และ จังหวัดอื่นๆ โดยกลุ่มเป้าหมายชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการที่จะดึงดูดให้เข้ามาพักในไทย หรือใช้บริการดูแลผู้สูงอายุในไทย จะเป็นกลุ่มคนญี่ปุ่นที่เคยทำงานในไทย หรือใช้ชีวิตในไทย
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่าได้นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27-28 ธ.ค.ที่ผ่านมา และได้เข้าหารือกับผู้บริหารศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้ การพัฒนาของบริษัทที่ดูแลผู้สูงอายุ ว่าเริ่มต้นอย่างไร มีแนวทางการดำเนินการแบบไหน เพราะไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ และต้องวางแผนการใช้ประโยชน์จากสังคมผู้สูงอายุ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
"ไทยเรากำลังมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมความพร้อม เตรียมพัฒนาธุรกิจรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคนไทยเก่ง และปัจจุบันก็มีการให้บริการบ้านพักสำหรับผู้สูงอายุ มีบริการดูแลถึงบ้าน มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ดูแลผู้สูงอายุ มีกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ แต่เรายังขาดการเชื่อมโยง ซึ่งผมจะนัดหารือผู้ประกอบการ ทั้งรายเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อมาขับเคลื่อนร่วมกัน ทำแผนร่วมกัน และถ้าเห็นว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนอะไร ก็จะช่วยผลักดัน"
ทั้งนี้ปัญหาที่พบเห็นคือ ไทยยังขาดธุรกิจที่ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจะต้องพัฒนาให้มีธุรกิจที่จะเข้ามาดูแลผู้สูงอายุในทุกๆระดับ ตั้งแต่ผู้มีรายได้น้อย ปานกลาง และรายได้สูง รวมถึงผู้สูงอายุจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาใช้บริการในไทย ขณะที่ภาครัฐ ยังขาดระบบหรือสิ่งจูงใจในการลงทุน เช่น ระบบการประกันสุขภาพ ระบบภาษีที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ การอนุญาต ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมาคิดใหม่ ทำใหม่หมด เพื่อสร้างแรงจูงใจ ในการลงทุน
หากส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุให้เข้มแข็ง ไม่เพียงแต่ช่วยรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทย แต่ยังจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ)ในภูมิภาค และสามารถดึงดูดผู้สูงอายุจากประเทศต่างๆ ให้เข้ามาใช้บริการในไทยด้วย
สำหรับการหารือกับผู้บริหารธุรกิจดูแลผู้สูงวัยของญี่ปุ่น ได้ทราบประสบการณ์และแนวทางการทำงาน โดยเฉลี่ยมีการดำเนินธุรกิจมาแล้วประมาณ 20 ปี เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นได้มองเห็นถึงปัญหานี้มานานแล้ว และปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีธุรกิจให้บริการในญี่ปุ่น แต่ยังได้ขยายการลงทุนออกไปยังประเทศต่างๆรวมทั้งไทยด้วย ซึ่งกระทรวงฯได้ใช้โอกาสนี้ชักจูงให้เพิ่มการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น หรือร่วมมือกับผู้ประกอบการของไทยในการขยายธุรกิจ
สำหรับบริษัทที่ได้เข้าหารือได้แก่ บริษัท Medical Care Service ทำธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุ เปิดแห่งแรกในจังหวัดไซตามะ ปี 2001 ต่อมาเปิดอีกหลายประเภท ปัจจุบันมีบ้านพักผู้สูงอายุรวม 303 แห่งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ และยังดำเนินธุรกิจจำหน่าย และให้เช่าอุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุทั้งบุคคลทั่วไป และบ้านพักผู้สูงอายุ รวมทั้งมีธุรกิจบริการอาหารสำหรับผู้สูงอายุ สำหรับบ้านพักผู้สูงอายุ และยังมีการลงทุนเปิดบ้านพักผู้สูงอายุในจีน 3 แห่ง มาเลเซีย 1 แห่ง ขณะที่บริษัท Friend Corporation ดำเนินธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุในญี่ปุ่น 9 แห่ง และได้เปิดสาขาในไทย ชื่อ บริษัท เบสท์ เอเชี่ยน เฟรนด์ จำกัด ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2012 ดำเนินธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุ และ ปี 2016 เปิดร้านจำหน่ายอุปกรณ์ และให้การดูแลผู้สูงอายุครบวงจร เช่น เตียงนอนไฟฟ้า รถเข็น และยังมีบริการให้คำปรึกษาเรื่องการดูแลผู้สูงวัย โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวญี่ปุ่น ชาวต่างประเทศ และชาวไทย ส่วนบริษัท RIEI ให้บริการบ้านที่พักอาศัย เช่น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และบริการด้านอาหาร ก่อนเข้าสู่ธุรกิจบ้านพักผู้สูงอายุ โดยปัจจุบัน มีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 47 แห่งในญี่ปุ่น และเปิดสาขาในต่างประเทศ 6 แห่ง อยู่ในจีน 5 แห่ง และไทย 1 แห่ง ที่ลาดพร้าว ในชื่อ RIEI Nursing Home Ladprao เปิดให้บริการ ปี 2016
ปัจจุบัน มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในไทย 72,754 คน คิดเป็นอันดับ 4 ของประเทศที่ชาวญี่ปุ่นไปอยู่อาศัย รองจากสหรัฐฯ จีน และออสเตรเลีย โดยอยู่ในกรุงเทพฯ 52,871 คน ที่เหลือกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สมุทรปราการ อยุธยา ปราจีนบุรี ภูเก็ต และ จังหวัดอื่นๆ โดยกลุ่มเป้าหมายชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการที่จะดึงดูดให้เข้ามาพักในไทย หรือใช้บริการดูแลผู้สูงอายุในไทย จะเป็นกลุ่มคนญี่ปุ่นที่เคยทำงานในไทย หรือใช้ชีวิตในไทย