xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำสไตล์ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’…

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

<b>ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา</b>
คนอเมริกัน หรือใครก็ตามที่ติดตามสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ จะนึกประเทศสหรัฐอเมริกาจะได้ผู้นำทำเนียบขาวอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และรีสอร์ต มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ใครจะนึกว่าเมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว จะคิดเอง ทำเอง ไม่ปรึกษาใคร แปรมิตรให้เป็นคนเหินห่าง ทำท่าหยิกแกมหยอกกับชาติที่ถูกยึดถือว่าเป็นศัตรูชั่วนิรันดรอย่างรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และล่าสุด รวมอิหร่านเข้าไปด้วย

ใครคิดว่าทรัมป์จะได้ทำให้นโยบายทั้งในประเทศและต่างประเทศสับสนวุ่นวาย เดาทางยาก พลิกไปมา เพื่อนตามไม่ทัน แต่ทำอะไรเข้าทางชาติที่ทรัมป์และคนอเมริกันคิดว่าเป็นคู่แข่ง ศัตรูคู่อาฆาต ภายในเวลาเพียง 2 ปี และยังจะเละกว่านี้

ก็เป็นไปแล้ว และยังเป็นอยู่ ทำเอาคนดีตีตัวออกห่าง แม้แต่ ส.ส. ส.ว.พรรครีพับลิกันส่วนหนึ่งซึ่งเคยหลับหูหลับตาสนับสนุนทรัมป์ในการแต่งตั้งตุลาการศาลสูง ก็ยังไม่ขอร่วมทำสังฆกรรมได้อีกต่อไป เพราะทรัมป์มีฟางเส้นสุดท้ายมากเกินจะทน

ล่าสุด การตัดสินใจสั่งถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรียและบางส่วนจากอัฟกานิสถาน ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน โดยไม่ปรึกษาชาติพันธมิตรร่วมรบ นายทหาร หรือแม้แต่รัฐมนตรีกลาโหม ได้ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกช็อก!

ยิ่งตระหนกไปกว่านั้นเพราะทรัมป์ได้ตัดสินใจหลังจากคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำตุรกี ประธานาธิบดีเออร์โดอัน ซึ่งแนะให้ทรัมป์ถอนทหารออกจากซีเรียโดยรับปากว่าจะจัดการกลุ่มโจรก่อการร้ายไอซิสได้ ทรัมป์ก็ยอมอย่างง่ายดาย

“โอเค! จากนี้ไป คุณเอาซีเรียไปเลย สำหรับผมพอแล้ว” นั่นเป็นคำตอบของทรัมป์ให้ผู้นำตุรกี รายละเอียดบทสนทนาถูกถอดออกมาและเผยแพร่กันทั่ว ทำให้ทรัมป์ถูกมองว่าทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่น ไม่รอบคอบ ไม่ปรึกษาหรือฟังใคร

ทำให้รัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส ตัดสินใจยื่นใบลาออกมีผลสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 มีข้อความจดหมายสร้างความเจ็บปวดกระดองใจให้ทรัมป์ และท่านผู้นำยัวะจัดเมื่อสื่อต่างวิเคราะห์และแสดงความเห็นอวยและเอื้อต่อแมตทิส

ทรัมป์ตัดสินใจตั้งรองของแมตทิส เป็นรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม โดยให้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่แมตทิสต้องรอจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะอยู่ไปก็เป็นเหมือนตอตำตา หนามตำใจ ไปเร็วดีกว่าอยู่ เพราะไม่ชอบกันแล้วเหตุผลที่แมตทิสจะอยู่ต่อเพื่อต้องการให้ปากคำแก่กรรมาธิการของสภาและวุฒิสภาในกรณีที่มีการไต่สวนเรื่องการถอนทหารจากซีเรียและอัฟกานิสถาน

เป็นคนดี มีหลักการ อีกคนที่ทนอยู่กับทรัมป์ไม่ได้ ก่อนหน้านี้รัฐมนตรีต่างประเทศเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ก็โดนทรัมป์เขี่ยออก ทั้ง 2 รัฐมนตรีอยู่ในระดับเดียวกันด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดปัญหาว่าจะหาใครมาทำงาน

คนที่เคยอยู่ร่วมกับทรัมป์หลังจากได้ตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาว มีส่วนหนึ่งติดคุก รอการติดคุก ถูกดำเนินคดี ล้วนเป็นนักโกหกเพื่อทรัมป์ จากนั้นเอาตัวรอด เปิดโปงว่าทรัมป์ทำผิดอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้ทรัมป์ฉุนขาดด่าว่าเป็นพวกตาขาว ปากโป้ง

ส่วนคนดี มีหลักการ เคารพตัวเอง ไม่ยอมเป็นลูกขุนพลอยพยัก หรือพวกจอมเชลียร์ ทนสภาพความเป็นทรัมป์ไม่ไหว ดังเช่นทิลเลอร์สันและแมตทิส ยังอยู่ได้และสังคมชื่นชม ออกไปแล้วมีงานทำ น่าเชื่อถือ ที่เหลือล้วนเป็นพวกเออออห่อหมก

ทรัมป์เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง นึกว่าเป็นผู้นำองค์กรธุรกิจ และนำเอาวิธีทำงานแบบภาคเอกชนมาใช้ในภาครัฐ ในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ถูกมองว่าเป็นพวกนิยมแนวทางผู้นำเผด็จการ คุยโม้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น

ทรัมป์ได้ประกาศต่อที่ชุมนุมหลายครั้ง หลากหลายกลุ่ม ว่าตัวเองรู้ดีกว่าคนอื่นในด้านต่างๆ เช่นไฮเทค ไอซิส การจ่ายเงินสนับสนุนการเมือง และเรื่องอื่นๆ ทำตัวเป็นคนรู้ทุกเรื่อง พูดได้ทุกเรื่อง เก่งกว่าคนอื่น แต่ทำอะไรไม่สำเร็จจริงจังสักเรื่อง

การคุยอวดอ้างความเก่งฉกาจแทบเหนือมนุษย์ของทรัมป์เหนือกว่าผู้นำประเทศจอมขี้คุยทั้งหมด แต่ไม่เคยทำสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ทิ้งให้ค้างคาไว้ แต่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิดพลาด เป็นคนคุยเขื่องยกตนข่มท่าน ไม่เคยรับผิดชอบเรื่องอะไร

เป็นผู้นำประเทศที่ไร้มารยาท ไร้ยางอาย ยิ่งกว่าผู้นำชาติด้อยพัฒนาด้วยซ้ำ!

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นขณะนี้คือการปิดตัวองค์กรของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนไม่ได้รับเงินเดือนเพราะการต่อรองระหว่างทรัมป์กับสภาคองเกรสที่ต้องผ่านงบประมาณค่าใช้จ่ายโดยทรัมป์ของบพิเศษมากถึง 5 พันล้านดอลลาร์ แต่ไม่ยอม

ทรัมป์อ้างว่างบเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการสร้างกำแพงบนชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ซึ่งทรัมป์อ้างว่าจะให้เม็กซิโกจ่าย แต่ไม่ยอม กลายเป็นประเด็นบาดหมางระหว่าง 2 ชาติ เมื่อไม่ได้ดังใจ งบประมาณก็ไม่ผ่าน รัฐไม่มีเงินทำงาน

เจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งก็หน้าแห้ง ไม่ได้รับเงินเดือนช่วงสิ้นปี เป็นกรณี shutdown ครั้งที่ 4 ภายใน 2 ปีแรกของทรัมป์ ที่ผ่านมารอดไปได้ แต่ครั้งนี้ยังต่อรองกันอยู่ คาดว่าเงินเดือนสำหรับพนักงานจะได้รับการจ่ายต้นปีหน้า

ไม่กี่วันก่อน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ราคาหุ้นตก ส่งผลกระทบด้านอื่นๆ ต่อบริษัทอย่างมาก หลายฝ่ายเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจซบเซา ชะลอตัว ส่งผลกระทบไปทั่วโลก อัตราการขยายตัวถดถอย

ทรัมป์ยัวะจัด เรียกที่ปรึกษามาถามว่าจะใช้อำนาจประธานาธิบดีปลดประธานบอร์ดธนาคารกลางได้หรือไม่ คำตอบคือจะปลดก็ได้ แต่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย ทำให้ทรัมป์ไม่กล้าบุ่มบ่ามอย่างเคย เพราะยังมีเรื่องร้อนๆ คาอีกเยอะ!
กำลังโหลดความคิดเห็น