xs
xsm
sm
md
lg

ความหวังสันติภาพ...ภายใต้การทรยศหักหลัง???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

พลเอกเจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปว่ากันเรื่อง “ทรัมป์บ้า” คิดจะถอนทหารสหรัฐฯ 2,000 กว่าคนออกจากสมรภูมิซีเรีย และเห็นว่าอาจตามด้วยการถอนทหารเกือบครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 7,000 คน จากจำนวนทั้งหมด 14,000 คน ออกจากสมรภูมิอัฟกานิสถานอีกต่างหาก อันก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ไม่ว่าในระดับโลก หรือภายในประเทศอเมริกาเอง แถมส่งผลให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ อย่าง “พลเอกเจมส์ แมตทิส” ผู้เคยได้ชื่อ ฉายา ว่า “หมาบ้า” ถึงขั้นต้องยื่นจดหมายลาออก ด้วยเหตุเพราะบ้าน้อย หรือบ้ามากกว่า “ทรัมป์บ้า” คงต้องไปหาคำตอบกันเอาเอง...

ส่วนการตัดสินใจเช่นนี้ จะส่งผลบวก-ผลลบ ดี-ไม่ดี ต่อฉากสถานการณ์โลก หรือสถานการณ์ความเป็นไปในตะวันออกกลางหรือไม่ อย่างไร อันนั้น...อาจถือว่า “เร็วเกินไป” กว่าที่จะหาข้อสรุปกันได้ชัดๆ เพราะอย่างที่ทูตซีเรียประจำยูเอ็น “นายBashar Ja’afrri” ท่านสรุปเอาไว้สั้นๆ นั่นแหละว่า ถอนจริง-ไม่จริง...ก็ยังไม่รู้!!! เพราะยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 60-100 วัน โดยจะถอนออกจากซีเรียแล้วไปซุ่มโป่งอยู่แถวๆ อิรัก พร้อมกลับมาสร้างความ “ป่วน” อีกเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ซึ่งเป็นไปในแนวเดียวกับที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ได้บอกกับบรรดาผู้สื่อข่าว ในการแถลงข่าวครั้งล่าสุด เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า การถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรีย หรืออัฟกานิสถาน ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลอเมริกาแทบทุกรัฐบาลมักเคยพูดๆ เอาไว้ในแทบทุกๆ ปี แต่ประมาณ 17 ปีเข้าไปแล้ว ทหารอเมริกันก็ยังคงปักหลักรากงอกอยู่ในอัฟกานิสถาน โดยไม่ได้คิดจะ “แยงกี้ โกโฮม” อย่างที่พูดๆ เอาไว้แต่ประการใด...

อย่างไรก็ตาม...ที่แน่ๆ ก็คือการตัดสินใจของ “ทรัมป์บ้า” ในลักษณะเช่นนี้ น่าจะส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ ออกไปทางซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพราะสิ่งที่ตามมาหลังการประกาศถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากสมรภูมิซีเรีย ก็คือการที่รัฐบาลตุรกีออกมาป่าวประกาศว่ากำลังคิดจะส่งทหารตุรกี บุกเข้าไปกวาดล้างพวกกองกำลัง “SDF” หรือ “Kurdish-led Syrian Democratic Force” หรือ “กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย” ที่อยู่ภายใต้การนำของชาวเคิร์ดและเคยเป็นมือ เป็นตีน ให้กับกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในการไล่ล่า เล่นงานพวกผู้ก่อการร้าย หรือการหาทางโค่นล้มรัฐบาลซีเรียของประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” ให้หมดเกลี้ยงไปจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส หรือบริเวณพรมแดนด้านเหนือของซีเรียและด้านใต้ของตุรกี ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ หรือภายในช่วงระยะ 60 วัน 100 วัน หลังจากทหารสหรัฐฯ คนสุดท้ายออกไปจากประเทศซีเรียนั่นเอง...

ภายใต้ความซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศทำนองนี้นี่แหละ...ที่ถูกนำไปเกี่ยวโยงแบบชนิดเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” กับการยื่นจดหมายลาออกของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กันจนได้ ชนิดที่ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ “The Guardian” ประจำกรุงวอชิงตัน อย่าง “นายJulian Borger” ถึงกับต้องนำไปตั้งชื่อไว้ในข้อเขียน รายงาน เมื่อช่วงวันศุกร์ (21 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ว่าด้วยกรณี “Mattis resignation triggered by Phone call betweenTrump and Erdogan” หรือการลาออกของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ นั้นถูกจุดชนวนให้ปะทุขึ้นมา หลังการพูดคุยโทรศัพท์เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับประธานาธิบดี “ตอยยิป” หรือ “เทย์ยิป เออร์โดกัน” แห่งตุรกีนั่นแล จริง-ไม่จริง...ก็ไม่รู้!!! แต่ก็น่าจะทำให้ภาพจินตนาการที่อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย อย่าง “นายDavid Phillip” ได้บรรยายไว้ให้นักข่าวอย่าง “นายJulian” พอได้หลับตานึกภาพตามไปด้วย คือภาพที่ “ทันทีที่ทหารสหรัฐฯ ถอนออกไปจากซีเรีย...กองทัพอากาศตุรกีก็น่าจะได้เวลาทิ้งระเบิดใส่พวกเคิร์ดแบบฉับพลัน-ทันที ตามด้วยการบดขยี้จากกองกำลังภาคพื้นดินของพวกผู้ก่อการร้ายที่ตุรกีให้การสนับสนุนมาก่อนหน้านี้” จึงกลายเป็นภาพจินตนาการที่ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย...

และนั่นเอง...ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง อย่าง “นายDavid Phillip” ถึงต้องให้คำนิยามต่อการตัดสินใจของผู้นำอเมริกันครั้งนี้ว่า “The Great Betrayal” หรือ “การทรยศครั้งยิ่งใหญ่” เพราะด้วยจินตนาการที่ว่า ย่อมส่งผลให้...“ผู้ที่ร่วมรบเคียงบ่า-เคียงไหล่ ผู้เคยให้การสนับสนุนเรามาโดยตลอดช่วง 3 ปีครึ่ง ชนิดแทบไม่ต่างไปจากรองเท้าหุ้มข้อให้กับเรา ในการเหยียบย่ำศัตรูภาคพื้นดินอย่างกองกำลัง SDF ภายใต้การนำของชาวเคิร์ด หนีไม่พ้นต้องตกเป็นเหยื่อของตุรกี ดังนั้น...นับจากนี้คงไม่มีใครอีกแล้ว ที่คิดจะร่วมสู้กับเราในอนาคต เมื่อได้เห็นเราถีบพันธมิตรของเราลงไปนอนกลิ้งอยู่ใต้ท้องรถ...” นี่...ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ไปได้ถึงขั้นนั้น...

แต่คงไม่ใช่เฉพาะ “นายDavid Phillip” เพียงรายเดียว...ที่คิดเอง เออเอง ไปในแนวนี้ เพราะกระทั่งตัวโฆษกของกองกำลัง “SDF” เอง อย่าง “นายJeihan Ahmed” ก็ได้ออกมาให้ข้อสรุปถึงการประกาศถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรีย ด้วยอาการครวญครางที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเอามากๆ คือสรุปว่า... “เราถูกแทงข้างหลัง” และเพื่อให้หายปวด หายแค้น ลงไปมั่ง หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ เลยทำให้มีข่าวว่า ผู้บัญชาการกองกำลัง “SDF” ตัดสินใจที่จะปล่อยตัวพวกผู้ก่อการร้ายไอเอสและครอบครัว จำนวนถึง 3,200 คน ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในค่ายยูเฟรติสตะวันออก ให้เป็นอิสระ หรือให้สามารถกลับไป “ก่อการร้าย” แบบไหนและที่ไหน ได้โดยเสรี อันถือเป็นการตอบโต้ต่อการตัดสินใจของผู้นำอเมริกาคราวนี้ แพร่กระจายผ่านสำนักข่าว “FNA” ของทางการอิหร่าน เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา...

อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้อะไรต่อมิอะไรในตะวันออกกลาง ยิ่งน่าจะสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการคิดคดทรยศ การเปลี่ยนมิตรให้กลายมาเป็นศัตรู เปลี่ยนศัตรูให้กลายมาเป็นมิตร จนแทบไม่รู้ “ไผ-เป็น-ไผ” ไปแล้วในขณะนี้ มันจึงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ถึงพอให้ข้อสรุปได้ว่า...จะนำไปสู่ด้านบวก-ด้านลบ ส่งผลดี-ไม่ดี ต่อฉากสถานการณ์โดยรวม เพราะยังมีคำถามอีกหลายคำถามที่คงต้องรอคำตอบกันให้ชัดๆ ไม่ว่าคำถามว่าถอนจริง-ไม่จริง ถอนแล้วจะเอาไปซุ่มโป่งไว้ที่ไหนกันแน่ ไปจนถึงคำถามว่าด้วยสัมพันธภาพระหว่างสหรัฐฯ กับตุรกี อันมีที่มาจากการขายมิตร ทรยศมิตร แทงข้างหลังมิตร อะไรทำนองนี้ จะส่งผลให้สัมพันธภาพระหว่างตุรกีกับรัสเซียและอิหร่าน ที่กำลังจะร่วมสถาปนา “สันติภาพถาวร” ให้อุบัติขึ้นในดินแดนแห่งนี้ให้จงได้ จะต้องถูกขาย ถูกทิ่ม ถูกแทง ตามไปด้วยหรือเปล่า???


กำลังโหลดความคิดเห็น