วานนี้ (19 ธ.ค.) ที่พรรคภูมิใจไทย มีการเสวนาในหัวข้อ "ทีมหมอครอบครัว อสม. ภูมิใจรับใช้ประชาชน" นำโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย นพ.สำเริง แหยงกระโทก ทีมยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข พรรคภูมิใจไทย นพ.ไกร ดาบธรรม อดีต นายแพทย์ดีเด่นชนบท พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ผอ.ศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 จ.ปัตตานี ร่วมอภิปรายเรื่อง "ปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย หมอประจำครอบครัว จะมีบทบาทแก้ไขปัญหานี้อย่างไร"
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้ความสำคัญกับอาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) เนื่องจากเป็นบุคคลที่จะดูแลปัญหาสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ ที่ผ่านมา อสม. ประสบปัญหาเรื่องโครงสร้างสวัสดิการที่ไม่ชัดเจน หน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ ยังไม่เป็นเอกภาพ และรอคอยแต่คนใจดี มาเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย จึงได้ยกร่างกฎหมาย เพื่อยกระดับ อสม. 1 ล้านคน ทั่วประเทศ ให้มีสวัสดิการ และวิถีชีวิตที่ดีขึ้น โดยให้มีสถานะเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ“หมอประจำบ้าน”ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพประชาชนในหมู่บ้านในเบื้องต้น โดยจะมีรายได้เริ่มต้น 2,500–10,000บาท และ"หมอประจำหมู่บ้าน" ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ดูแลภาพรวมทั้งหมู่บ้าน ซึ่งจะต้องผ่านการอบรมความรู้ด้านการดูแลสุขภาพพื้นฐาน และจะต้องนำข้อมูลการรักษา ที่มีประสิทธิภาพนำไปถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีมือถือ เพื่อนำไปรักษาประชาชนในหมู่บ้านต่างๆ โดยจะได้ค่าตอบแทน เริ่มต้นที่ 5,000–10,000 บาท ซึ่งแนวทางดังกล่าว ถือเป็นการเทียบเคียงกับกฎหมายของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีอำนาจหน้าที่ และสวัสดิการที่ชัดเจน
"ยืนยันว่า งบประมาณที่นำมาใช้กับหมอประจำบ้าน และหมอประจำหมู่บ้าน จะไม่ต้องมาเก็บภาษีประชาชนเพิ่ม หรือกู้เงินมาใช้ แต่จะเป็นการบริหารจัดการงบฯเดิม ของกระทรวงสาธารณสุข ให้มีประสิทธิภาพ มั่นใจว่า จะมีเงินเหลือให้กับ อสม. 1 ล้านคนทั่วประเทศ หาก อสม.ทั่วประเทศอยากให้นโยบายดังกล่าวเป็นความจริง ก็ขอให้ ในวันที่ 24 ก.พ.62 นี้ มาเลือกพรรคภูมิใจไทย เพื่อที่เราจะได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล เข้าไปผลักดันเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จเป็นรูปธรรม " เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าว
ด้าน พ.อ.เศรษฐพงศ์ กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีที่มีความเจริญก้าวหน้า ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน พรรคภูมิใจไทย จะนำข้อมูลการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นระดับโลก หรือชั้นนำระดับประเทศไทย มาถ่ายทอดไปยังหมอประจำบ้าน และหมอประจำหมู่บ้าน ที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตร ที่พรรคภูมิใจไทยได้จัดทำหลักสูตรไว้แล้ว นำไปรักษาประชาชนภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งประเทศ เช่น ต่อจากนี้คนในชนบท จะได้เข้าถึงการรักษาในระดับโรงพยาบาลชั้นนำ แตกต่างจากเดิม ที่อาจได้รับการรักษาในระดับท้องถิ่นเท่านั้น ที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสถานพยาบาล และไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้ความสำคัญกับอาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) เนื่องจากเป็นบุคคลที่จะดูแลปัญหาสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ ที่ผ่านมา อสม. ประสบปัญหาเรื่องโครงสร้างสวัสดิการที่ไม่ชัดเจน หน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆ ยังไม่เป็นเอกภาพ และรอคอยแต่คนใจดี มาเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย จึงได้ยกร่างกฎหมาย เพื่อยกระดับ อสม. 1 ล้านคน ทั่วประเทศ ให้มีสวัสดิการ และวิถีชีวิตที่ดีขึ้น โดยให้มีสถานะเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ“หมอประจำบ้าน”ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพประชาชนในหมู่บ้านในเบื้องต้น โดยจะมีรายได้เริ่มต้น 2,500–10,000บาท และ"หมอประจำหมู่บ้าน" ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า ดูแลภาพรวมทั้งหมู่บ้าน ซึ่งจะต้องผ่านการอบรมความรู้ด้านการดูแลสุขภาพพื้นฐาน และจะต้องนำข้อมูลการรักษา ที่มีประสิทธิภาพนำไปถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีมือถือ เพื่อนำไปรักษาประชาชนในหมู่บ้านต่างๆ โดยจะได้ค่าตอบแทน เริ่มต้นที่ 5,000–10,000 บาท ซึ่งแนวทางดังกล่าว ถือเป็นการเทียบเคียงกับกฎหมายของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีอำนาจหน้าที่ และสวัสดิการที่ชัดเจน
"ยืนยันว่า งบประมาณที่นำมาใช้กับหมอประจำบ้าน และหมอประจำหมู่บ้าน จะไม่ต้องมาเก็บภาษีประชาชนเพิ่ม หรือกู้เงินมาใช้ แต่จะเป็นการบริหารจัดการงบฯเดิม ของกระทรวงสาธารณสุข ให้มีประสิทธิภาพ มั่นใจว่า จะมีเงินเหลือให้กับ อสม. 1 ล้านคนทั่วประเทศ หาก อสม.ทั่วประเทศอยากให้นโยบายดังกล่าวเป็นความจริง ก็ขอให้ ในวันที่ 24 ก.พ.62 นี้ มาเลือกพรรคภูมิใจไทย เพื่อที่เราจะได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล เข้าไปผลักดันเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จเป็นรูปธรรม " เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าว
ด้าน พ.อ.เศรษฐพงศ์ กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีที่มีความเจริญก้าวหน้า ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน พรรคภูมิใจไทย จะนำข้อมูลการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นระดับโลก หรือชั้นนำระดับประเทศไทย มาถ่ายทอดไปยังหมอประจำบ้าน และหมอประจำหมู่บ้าน ที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตร ที่พรรคภูมิใจไทยได้จัดทำหลักสูตรไว้แล้ว นำไปรักษาประชาชนภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งประเทศ เช่น ต่อจากนี้คนในชนบท จะได้เข้าถึงการรักษาในระดับโรงพยาบาลชั้นนำ แตกต่างจากเดิม ที่อาจได้รับการรักษาในระดับท้องถิ่นเท่านั้น ที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสถานพยาบาล และไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย