xs
xsm
sm
md
lg

ระหว่าง “โลกสวย” กับ “โลกแห่งความเป็นจริง”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตกลับไปสรุปทบทวน ใคร่ครวญ ถึงเรื่อง “การพักรบชั่วคราว” ใน “สงครามการค้า” ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีน ภายในช่วงระยะเวลา 90 วัน ไว้ซักกะหน่อย เพราะมันออกจะเกี่ยวกับทัศนะ มุมมองของเราๆ-ทั่นๆ ที่พึงมีต่อโลก ว่าจะหนักไปทาง “โลกสวย” หรือจะว่ากันไปตาม “โลกแห่งความเป็นจริง” กันแน่!!!
 
คือถ้าออกไปทาง “โลกสวย” ก็คงหนีไม่พ้นต้องออกอาการกระดี้กระด้า แบบบรรดาพวกแมลงเม่า แมงกระชอน แมงกุดจี่ ฯลฯ ทั้งหลายใน “ตลาดหุ้น” ทั่วโลกเขานั่นแหละ หันมาซื้อขาย เทขาย เคาะขาย จนกระดาน “เขียวพรืด” ไปแทบทุกตลาดหุ้นกันเป็นกระบิๆ ชนิดตาดีได้-ตาร้ายเสีย ไปตามสภาพ แต่ถ้าว่ากันโดย “โลกแห่งความเป็นจริง” การพักรบชั่วคราว หรือยุติการยิงกันภายในช่วงเวลา 90 วัน ของจีนและอเมริกา หลังการจับเข่า จับหัวเหน่า ระหว่าง “สีทนได้” กับ “ทรัมป์บ้า” ในระหว่างการพบปะ ณ เวทีการประชุม G-20 คราวนี้ มันคงไม่ได้ “ส่งสัญญาณ” ในแง่บวกอะไรมากมายนัก เผลอๆ...อาจต้องหันมา “ใส่” กันแบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด หลังช่วงระยะเวลาพักรบได้ผ่านพ้นไปแล้ว...
 
หรืออย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และอาจเชี่ยวชาญในการดู “โหงวเฮ้ง” หรือบุคคลิกลักษณะของบุคคลแต่ละบุคคลควบคู่ไปด้วย เช่น “นายJeffry Tucker” แห่งสถาบัน “American Institute for Economic Research” เขาได้ให้ความเห็นเอาไว้กับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” เมื่อวันวานที่ผ่านมา ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...โดยจุดยืน ทัศนคติ และวิธีการของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือยังออกไปทาง “หลงยุค” หรือยังเชื่อว่ามาตรการทาง “ภาษี” นั้นคือเครื่องมือในการเอาชนะคะคานกันทางเศรษฐกิจ หรือเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบบรรดาพวกพ่อค้าใน “ยุคกลาง” เคยคิดๆ เอาไว้ทำนองนั้น ไม่เช่นนั้น คงไม่ออกมาป่าวประกาศด้วยความทะนงองอาจว่าตัวเองคือ “มนุษย์ภาษี” หรือ “Tariff Man” ในการทวิตเที่ยวล่าสุด...
 
หรือยังเชื่อ ยังยึดมั่น ถือมั่นในลักษณะแบบที่เรียกๆ กันว่า “Protectionism” หรือ “Unilateralism” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป คือเป็นประเภทที่พร้อมจะป้องกัน กีดกันทางการค้า เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว ต้อง “ตัวกู-ของกู” เอาไว้ก่อน หรือ “อเมริกา...มาก่อน” อย่างมิมีทางเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น แม้ว่า “โลกยุคนี้” มันจะไปไหนต่อไปไหน กลายเป็น “โลกาภิวัตน์” จนไม่อาจหวนกลับไปเป็นแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป อันเป็นความเชื่อที่นักเศรษฐศาสตร์ อย่าง “นายJeffry Tucker” รวมไปถึงผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สีทนได้” ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “ผิดหลักเศรษฐศาสตร์” ยุคใหม่อย่างเห็นได้ชัด...
 
แต่ด้วยความเชื่อเช่นนี้ ที่มันอาจผสมผสานไปกับ “ทัศนคติทางการเมือง” ควบคู่ไปด้วย หรือทัศนคติที่เห็นว่าต้องหาทางขจัดคู่แข่งขัน หรือ “อำนาจแข่งขัน” (Rival Power หรือ Revisionist Power) อย่างจีนและรัสเซียลงไปให้จงได้ ถึงประเทศอเมริกาจะหวนคืนกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิม หรือ “America Great Again” อะไรประมาณนั้น แม้จะผิดหลักเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ฯลฯ เพียงใดก็ตาม ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านก็พร้อมที่จะ “ใส่” แบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด ส่วนเหตุที่ต้องหันมา “พักรบ” ชั่วคราวนั้น ถ้าว่ากันตามทัศนะของ “นายJeffry Tucker” แล้ว นอกจากเป็นแค่ความพยายาม “โปรปะกันดา” ทางการเมือง เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองสัญญาว่าชาวอเมริกันจะได้เห็นจากการเปิดฉาก “สงครามทางการค้า” แบบอุตลุดมาโดยตลอด อันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ “เกิดขึ้นจริง” เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าการแก้ปัญหา “การเสียเปรียบดุลการค้า” ของอเมริกาที่มีต่อจีน คือไม่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าเข้าของจีนเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า แต่ถ้าดูจากตัวเลข (อย่างเป็นทางการ) ของกระทรวงพาณิชย์จีน เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลอดช่วงระยะเวลา 8 เดือนของปีนี้ จีนก็ยังคงได้เปรียบดุลการค้าอเมริกาอยู่อีกนั่นแหละ แถมยังเพิ่มจาก 28,090 ล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็น 31,050 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ภายในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ระหว่างปีที่แล้วกับปีนี้...
 
แต่นอกเหนือไปจากการกลบเกลื่อนสิ่งที่ว่านี้แล้ว...สิ่งที่ “นายJeffry Tucker” แกเห็นว่าได้ก่อให้เกิด “ความแตกตื่น” จำนวนไม่น้อย ต่อบรรดาผู้คนในทำเนียบขาว จนต้องหาทาง “ลดความก้าวร้าว” ในสงครามการค้ากับจีนลงไปซะมั่ง นั่นก็คือผลกระทบที่เกิดกับ “อุตสาหกรรมรถยนต์” ในอเมริกา ชนิดเล่นเอาบริษัทรถยนต์ยักษ์ๆ ต้องประกาศ “ปิดโรงงาน” กันไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะ “General Motors” นั้น เห็นว่าปิดไปแล้วประมาณ 7 โรงทั่วโลก ต้องประกาศเลิกจ้างงานพนักงานโรงงานไปแล้วถึง 14,000 ตำแหน่งเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว และภายในสิ้นปีนี้อาจต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวนถึง 25,000 ตำแหน่ง ภายใต้การพักรบชั่วคราว หรือการลดความก้าวร้าวของสงครามการค้าที่มีต่อจีนคราวนี้ ถึงได้มีเรื่องของการ “ยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์อเมริกา” ที่จีนเขาเคยขึ้นไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ผนวกรวมเอาไว้ด้วย พร้อมๆ การซื้อสินค้าการเกษตรล็อตใหญ่ของจีนจากอเมริกา ที่อาจพอช่วยให้บรรดาเกษตรกรอเมริกันผู้ปลูกถั่วเหลืองทั้งหลาย พอได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้มั่ง...
 
แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยบรรยากาศของสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่อย่างใด เพราะการลดภาษีนำเข้ารถยนต์อเมริกาที่เข้ามาขายในจีนนั้น แทบไม่ได้ทำให้จีนต้องกลายเป็นฝ่ายเสียหรืออเมริกาเป็นฝ่ายได้อะไรมากมายนัก เนื่องจาก 98 เปอร์เซ็นต์ของรถยนต์อเมริกันที่คนจีนขับอยู่ในเมืองจีนทุกวันนี้ ก็คือรถที่ผลิตขึ้นมาในจีนโดยบริษัทรถยนต์อเมริกาที่ย้ายฐานการลงทุนเข้ามาลงทุนในจีนนั่นเอง อีกทั้งรถยนต์อเมริกันที่คนอเมริกันขับอยู่ในประเทศอเมริกาทุกวันนี้ ส่วนใหญ่แล้ว...ก็มักต้องอาศัย “ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์” ชนิดต่างๆ ที่ผลิตขึ้นมาในจีนนั่นเอง...
 
หรือพูดง่ายๆ ว่า...โลกมันไปไหนต่อไหน จน “มาตรการทางภาษี” ไม่ได้ถือเป็น “เครื่องมือ” ที่จะทำให้เกิดการเสีย-การได้อะไรอีกต่อไปแล้ว มีแต่ก่อให้เกิด “ความฉิบหายกับฉิบหาย” ต่อบรรดาผู้ประกอบการและผู้บริโภคของทั้งสองฝ่าย ที่มีแต่ต้องเจ็บปวด รวดร้าวไปด้วยกันทั้งคู่ ส่วนระดับรัฐบาล หรือระดับผู้ดูแลบริหารประเทศนั้น ด้วยรายได้การส่งออกของจีนที่มีมูลค่าโดยรวมเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีประเทศ ขณะรายได้ของสินค้าอเมริกันที่ส่งเข้าไปขายในจีน ที่มีมูลค่าเพียงแค่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี สิ่งเหล่านี้แทบไม่ได้ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อสถานะประเทศจีน หรือรัฐบาลจีน ที่ยังสามารถดำรงตนเป็น “Rival Power” หรือเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกาไปได้อีกตราบนานเท่านาน...
 
แต่ก็ด้วย “ยุทธศาสตร์” ที่ไม่ต้องการเห็นใครโผล่ขึ้นมาเป็น “คู่แข่ง” โดยเด็ดขาด และโดย “เศรษฐศาสตร์” แบบ “หลงยุค” ของรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” นี่เอง ที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ และนักดูโหงวเฮ้ง อย่าง “นายJeffry Tucker” แกค่อนข้างเชื่อว่า หลังจาก 90 วันผ่านพ้นไปแล้ว “มนุษย์ภาษี” หรือ “Tariff Man” อย่าง “ทรัมป์บ้า” น่าจะหันกลับมา “ใส่” แบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด จนอาจทำให้ “โลกแห่งความเป็นจริง” นั้น เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยองพองขนแบบชนิดตรงกันข้ามกับ “โลกสวย” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...


กำลังโหลดความคิดเห็น