ตามที่ผมได้เล่าไปส่วนหนึ่งแล้วในบทความก่อนนี้ว่า ผมได้รับเชิญให้บรรยายเรื่อง “ภาคประชาสังคมกับอนาคตประเทศไทย” จาก “สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม”โดยสรุปก็คือ โลกในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงเร็วมากซึ่งอาจจะนำไปสู่สวรรค์หรือนรกก็ได้ทั้งนั้น ยากที่ใครจะพยากรณ์ได้ถูกต้อง แต่ผมก็ได้สรุปในตอนท้ายว่า สิ่งที่ดีที่สุดถ้าเราอยากจะให้อนาคตเป็นอย่างไร เราจงมาร่วมกันทำให้เป็นดังที่เราอยากจะได้
ในการนี้บทบาทของภาคประชาสังคมกำลังถูกคาดหวังและท้าทายจากสังคมทั่วไปจนถึงองค์กรระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้บรรจุความคาดหวังไว้ในเอกสารของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วย
วันนี้ผมขออนุญาตเล่าต่อนะครับ ถือเป็นตอนที่สอง
ผมเริ่มต้นด้วยการค้นหาความหมายอย่างเป็นทางการของคำว่า “ประชาสังคม (Civil Society)” โดยค้นจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ผลการค้นหาพบว่ามีอยู่หนึ่งที่ (คือมาตรา 222) แต่ไม่มีคำอธิบายใดๆ เลย
แต่ในเว็บไซต์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภามีความว่า “ประชาสังคมเป็นรูปแบบของสังคมที่ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมสาธารณะแตกต่างกับกิจกรรมของครอบครัวและกิจกรรมของรัฐดั้งเดิม กิจกรรมประชาสังคมดำเนินการภายใต้กรอบนิติกรรม และมีขอบเขตครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วมสาธารณะ องค์การ อาสาสมัคร สื่อสารมวลชน องค์การวิชาชีพ สหภาพแรงงาน ฯลฯ”
ผมค้นคว้าเพิ่มเติมอีกหลายความเห็นซึ่งทำให้เราเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นอีก เช่น “ภาคประชาสังคมมีบทบาทเด่นในการสนับสนุนนวัตกรรม มีความสามารถในการทดลอง เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว (กว่ารัฐบาล) และมีบทบาทเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
ภาคประชาสังคมหมายถึง “ภาคที่สาม” ที่ไม่ใช่ “ภาครัฐบาล” และ “ภาคธุรกิจ”ไม่ใช่เรื่องครอบครัว และไม่ใช่พรรคการเมืองเพราะพรรคการเมืองต้องการอำนาจรัฐ
ลำพังรัฐบาลอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ประชาธิปไตยทำงานได้การริเริ่มของภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญด้วย รวมกับบทบาทที่สำคัญของสถาบันต่างๆ ซึ่งรวมกันเรียกว่า “ประชาสังคม”
จากรายงานเรื่อง “บทบาทในอนาคตของภาคประชาสังคม” โดย World Economic Forum ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นปี 2013 ได้แสดงเปรียบเทียบถึงกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตถึงปัจจุบัน ผมได้สรุปไว้ในภาพข้างล่างครับ

ในอดีต ภาครัฐบาล (ซึ่งแสวงหาอำนาจ) ภาคธุรกิจ (ซึ่งแสวงหากำไร) และภาคประชาสังคม (ซึ่งไม่แสวงหาอำนาจไม่แสวงหากำไร และไม่ใช่เรื่องของครอบครัว) มักจะทำงานใน “โลกของตนเอง” โดยในภาคประชาสังคมมักจะมีเอ็นจีโอแสดงบทบาทเด่น กระบวนทัศน์ดังกล่าวได้ล้าสมัยไปแล้ว (ซ้ายมือของภาพ) ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น “กระบวนทัศน์ใหม่” องค์กรภาคประชาสังคมมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในทีมงานและเครือข่าย บทบาทเดิมๆ ที่แยกกันชัดเจนได้เจือจางลง (ขวามือของภาพ)
ผมได้ยกตัวอย่างภาคประชาสังคมที่น่าสนใจในประเทศไทย เช่น “Krabi Goes Green” เพราะมีความหลากหลาย ทั้งนักธุรกิจโรงแรม มีภาครัฐระดับจังหวัด นักวิชาการชาวประมงพื้นบ้าน และชาวบ้านได้รวมตัวกันอย่างมีเป้าหมายและมีผลงานปรากฏต่อสาธารณะมาก่อนที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของภาครัฐจะเริ่มขึ้น
ในแง่จำนวนของประชากรที่เคลื่อนไหวในนามของ “ภาคประชาสังคมทั่วโลก” มีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า หากเรียกประชากรกลุ่มนี้เป็น “ประเทศประชาสังคม” ก็จะมีประชากรรวมกันถึง 350 ล้านคน หรือมากเป็นอันดับสามของโลกรองจากประเทศจีนและอินเดีย (https://www.weforum.org/agenda/2017/12/5-challenges-facing-civil-society-in-the-fourth-industrial-revolution) มากกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก
ตามจินตนาการและประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่อว่า “ประเทศประชาสังคม” จะเป็นประเทศที่น่าอยู่มากและพลเมืองมีคุณภาพสูง เพราะคนในประเทศนี้คิดและทำเพื่อสาธารณะ ไม่หวังกำไร ไม่หวังอำนาจ มีกระบวนการทำงานที่เน้นการมีส่วนร่วม และไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าหลักการสำคัญของกระบวนการสีเขียว
ความคาดหวังและความท้าทายของภาคประชาสังคม
ดังที่ได้กล่าวตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ภาคประชาสังคมได้ถูกคาดหวังจากองค์การสหประชาชาติต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งมี 17 เป้าหมาย
นักวิเคราะห์บางคนวิจารณ์ว่า “เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ก้าวสั้นไปหน่อย”เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นพิธีสารเกียวโต (1977) และเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs 2000-2015) ต่างก็ประสบกับความล้มเหลวเพราะไปมุ่งที่บทบาทของภาครัฐและไม่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม “พลังงานสะอาด” แทนพลังงานฟอสซิลซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน (หมายเหตุ ที่ถูกต้องควรใช้คำว่า “พลังงานหมุนเวียน” ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า)

สำหรับความคาดหวังต่อภาคประชาสังคมไทย ผมมีเวลาพูดได้ไม่มากนัก แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัญหาการรุกของกลุ่มทุนต่างชาติที่ทาง คสช.ได้เปิดประตูต้อนรับอย่างขาดการควบคุม เช่น การยกเลิกผังเมืองในบางพื้นที่ ปัญหาคุณภาพการศึกษาที่ลดต่ำลง ปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ กำลังถูกคาดหวังให้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหามากขึ้น
ในเรื่องความท้าทายเนื่องจากโลกเราเปลี่ยนเร็วมาก ดังนั้น ภาคประชาสังคมกำลังถูกท้าทายในเรื่องของการปรับปรุงตัวเอง ซึ่งจะต้องมีความกระฉับกระเฉงว่องไวให้ทันต่อสถานการณ์ (Be Agile) และต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายที่หลากหลายด้วย
ผมได้นำเสนอภาพการ์ตูน New Me Upgrade (ยกระดับเป็นฉันคนใหม่) ซึ่งได้ประชดประชันต่อคนที่ชอบอัพเกรดโปรแกรมต่างๆ ลงในคอมพิวเตอร์ของตนเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ (รวมทั้งโทรศัพท์มือถือด้วย) แต่มักจะไม่คิดจะยอมปรับปรุงเพื่ออัพเกรดตนเองเลย ผมมีภาพมาให้ดูด้วยครับ

พลเมืองใน “ประเทศประชาสังคม” จะต้องมีคุณสมบัติ 6 ประการ คือ (1) สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ (2) เรียนรู้ตลอดชีวิต (3) แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (4) มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วม (5) คิดอย่างบูรณาการ และ (6) ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่าย
ผมได้ยกเรื่องการทำงานของปลาหมึกยักษ์ (octopus) ขึ้นมาเปรียบเทียบกับสังคมมนุษย์ ทำให้ได้แง่คิดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการจัดการตนเอง
ปลาหมึกยักษ์ถือกำเนิดขึ้นประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว (มนุษย์ประมาณ 2 แสนปี) ในขณะที่สัตว์อื่นๆ ได้สูญพันธุ์ไปหลายชนิด ปลาหมึกยักษ์มีสมองส่วนกลางเพียง 10% เท่านั้น ในขณะที่ 60% กระจายอยู่ตามแขนทั้ง 8 ซึ่งแต่ละแขนสามารถ “คิดเองได้” และลงมือปฏิบัติการได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง และสมองที่เหลืออีก 30% อยู่ที่บริเวณหัวมีตา 2 ดวงสามารถปรับเข้าออกเหมือนกับเลนส์ของกล้องถ่ายรูป ปลาหมึกยักษ์ตัวเมียสามารถเก็บเชื้ออสุจิของตัวผู้ไว้ในร่างกายได้นานเป็นสัปดาห์เพื่อรอให้ไข่สุกซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้
นอกจากนี้ปลาหมึกยักษ์ยังมีระบบการปกป้องตนเองโดยการพ่นสารพิษเพื่อหลบหนี สารพิษบางชนิดอาจทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตายได้ (ดูวิดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=VLkKiVIBxXU)
ปลาหมึกยักษ์ไม่มีหู แต่สามารถเรียนรู้จากดวงตาที่มหัศจรรย์และประสาทสัมผัสจากแขนทั้ง 8 ในแง่ของการกระจายอำนาจ ผมทราบว่าประเทศญี่ปุ่นมีการกระจายอำนาจดีมากทั้งจำนวนทรัพยากรและการตัดสินใจ ให้อำนาจกับการปกครองท้องถิ่น คล้ายกับปลาหมึกยักษ์ ในขณะที่รัฐไทยเน้นที่การรวมศูนย์
สิ่งที่ผมเรียกร้องในห้องบรรยายก็คือ ภาคประชาสังคมต้องปรับปรุงตนเองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ภาพสุดท้ายในวันนี้มาจากสไลด์ของ Gerd Leonhard (ผู้สนใจศึกษาและบรรยายเรื่องอนาคต) เขาได้ยกเอาคำพูดของ David Bowie มาสรุปว่า
“อนาคตจะเป็นของผู้ที่สามารถได้ยินว่าอนาคตกำลังมาแล้ว”

สุดท้าย ผมได้ยกเอาคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาที่ยิ่งใหญ่ของโลกคือ Charles Darwin ที่ว่า“ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุดที่จะเป็นผู้อยู่รอด แต่คือผู้ที่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดเท่านั้น”
นั่นคือเราต้องมีใบหูที่ใหญ่ดังในรูป (แหะๆ) และมีสองหูเพื่อเอาไว้รับฟังเยอะๆ ในขณะที่มีเพียงปากเดียวซึ่งน่าจะหมายถึงให้พูดน้อยกว่าการรับฟังความเห็นของผู้อื่นครับ
ในการนี้บทบาทของภาคประชาสังคมกำลังถูกคาดหวังและท้าทายจากสังคมทั่วไปจนถึงองค์กรระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้บรรจุความคาดหวังไว้ในเอกสารของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วย
วันนี้ผมขออนุญาตเล่าต่อนะครับ ถือเป็นตอนที่สอง
ผมเริ่มต้นด้วยการค้นหาความหมายอย่างเป็นทางการของคำว่า “ประชาสังคม (Civil Society)” โดยค้นจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ผลการค้นหาพบว่ามีอยู่หนึ่งที่ (คือมาตรา 222) แต่ไม่มีคำอธิบายใดๆ เลย
แต่ในเว็บไซต์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภามีความว่า “ประชาสังคมเป็นรูปแบบของสังคมที่ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมสาธารณะแตกต่างกับกิจกรรมของครอบครัวและกิจกรรมของรัฐดั้งเดิม กิจกรรมประชาสังคมดำเนินการภายใต้กรอบนิติกรรม และมีขอบเขตครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วมสาธารณะ องค์การ อาสาสมัคร สื่อสารมวลชน องค์การวิชาชีพ สหภาพแรงงาน ฯลฯ”
ผมค้นคว้าเพิ่มเติมอีกหลายความเห็นซึ่งทำให้เราเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นอีก เช่น “ภาคประชาสังคมมีบทบาทเด่นในการสนับสนุนนวัตกรรม มีความสามารถในการทดลอง เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว (กว่ารัฐบาล) และมีบทบาทเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
ภาคประชาสังคมหมายถึง “ภาคที่สาม” ที่ไม่ใช่ “ภาครัฐบาล” และ “ภาคธุรกิจ”ไม่ใช่เรื่องครอบครัว และไม่ใช่พรรคการเมืองเพราะพรรคการเมืองต้องการอำนาจรัฐ
ลำพังรัฐบาลอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ประชาธิปไตยทำงานได้การริเริ่มของภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญด้วย รวมกับบทบาทที่สำคัญของสถาบันต่างๆ ซึ่งรวมกันเรียกว่า “ประชาสังคม”
จากรายงานเรื่อง “บทบาทในอนาคตของภาคประชาสังคม” โดย World Economic Forum ซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นปี 2013 ได้แสดงเปรียบเทียบถึงกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตถึงปัจจุบัน ผมได้สรุปไว้ในภาพข้างล่างครับ
ในอดีต ภาครัฐบาล (ซึ่งแสวงหาอำนาจ) ภาคธุรกิจ (ซึ่งแสวงหากำไร) และภาคประชาสังคม (ซึ่งไม่แสวงหาอำนาจไม่แสวงหากำไร และไม่ใช่เรื่องของครอบครัว) มักจะทำงานใน “โลกของตนเอง” โดยในภาคประชาสังคมมักจะมีเอ็นจีโอแสดงบทบาทเด่น กระบวนทัศน์ดังกล่าวได้ล้าสมัยไปแล้ว (ซ้ายมือของภาพ) ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น “กระบวนทัศน์ใหม่” องค์กรภาคประชาสังคมมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในทีมงานและเครือข่าย บทบาทเดิมๆ ที่แยกกันชัดเจนได้เจือจางลง (ขวามือของภาพ)
ผมได้ยกตัวอย่างภาคประชาสังคมที่น่าสนใจในประเทศไทย เช่น “Krabi Goes Green” เพราะมีความหลากหลาย ทั้งนักธุรกิจโรงแรม มีภาครัฐระดับจังหวัด นักวิชาการชาวประมงพื้นบ้าน และชาวบ้านได้รวมตัวกันอย่างมีเป้าหมายและมีผลงานปรากฏต่อสาธารณะมาก่อนที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของภาครัฐจะเริ่มขึ้น
ในแง่จำนวนของประชากรที่เคลื่อนไหวในนามของ “ภาคประชาสังคมทั่วโลก” มีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า หากเรียกประชากรกลุ่มนี้เป็น “ประเทศประชาสังคม” ก็จะมีประชากรรวมกันถึง 350 ล้านคน หรือมากเป็นอันดับสามของโลกรองจากประเทศจีนและอินเดีย (https://www.weforum.org/agenda/2017/12/5-challenges-facing-civil-society-in-the-fourth-industrial-revolution) มากกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก
ตามจินตนาการและประสบการณ์ของผมเอง ผมเชื่อว่า “ประเทศประชาสังคม” จะเป็นประเทศที่น่าอยู่มากและพลเมืองมีคุณภาพสูง เพราะคนในประเทศนี้คิดและทำเพื่อสาธารณะ ไม่หวังกำไร ไม่หวังอำนาจ มีกระบวนการทำงานที่เน้นการมีส่วนร่วม และไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าหลักการสำคัญของกระบวนการสีเขียว
ความคาดหวังและความท้าทายของภาคประชาสังคม
ดังที่ได้กล่าวตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ภาคประชาสังคมได้ถูกคาดหวังจากองค์การสหประชาชาติต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งมี 17 เป้าหมาย
นักวิเคราะห์บางคนวิจารณ์ว่า “เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้ว แต่ก้าวสั้นไปหน่อย”เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นพิธีสารเกียวโต (1977) และเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs 2000-2015) ต่างก็ประสบกับความล้มเหลวเพราะไปมุ่งที่บทบาทของภาครัฐและไม่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม “พลังงานสะอาด” แทนพลังงานฟอสซิลซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน (หมายเหตุ ที่ถูกต้องควรใช้คำว่า “พลังงานหมุนเวียน” ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า)
สำหรับความคาดหวังต่อภาคประชาสังคมไทย ผมมีเวลาพูดได้ไม่มากนัก แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ปัญหาการรุกของกลุ่มทุนต่างชาติที่ทาง คสช.ได้เปิดประตูต้อนรับอย่างขาดการควบคุม เช่น การยกเลิกผังเมืองในบางพื้นที่ ปัญหาคุณภาพการศึกษาที่ลดต่ำลง ปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ กำลังถูกคาดหวังให้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหามากขึ้น
ในเรื่องความท้าทายเนื่องจากโลกเราเปลี่ยนเร็วมาก ดังนั้น ภาคประชาสังคมกำลังถูกท้าทายในเรื่องของการปรับปรุงตัวเอง ซึ่งจะต้องมีความกระฉับกระเฉงว่องไวให้ทันต่อสถานการณ์ (Be Agile) และต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายที่หลากหลายด้วย
ผมได้นำเสนอภาพการ์ตูน New Me Upgrade (ยกระดับเป็นฉันคนใหม่) ซึ่งได้ประชดประชันต่อคนที่ชอบอัพเกรดโปรแกรมต่างๆ ลงในคอมพิวเตอร์ของตนเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ (รวมทั้งโทรศัพท์มือถือด้วย) แต่มักจะไม่คิดจะยอมปรับปรุงเพื่ออัพเกรดตนเองเลย ผมมีภาพมาให้ดูด้วยครับ
พลเมืองใน “ประเทศประชาสังคม” จะต้องมีคุณสมบัติ 6 ประการ คือ (1) สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ (2) เรียนรู้ตลอดชีวิต (3) แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (4) มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วม (5) คิดอย่างบูรณาการ และ (6) ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่าย
ผมได้ยกเรื่องการทำงานของปลาหมึกยักษ์ (octopus) ขึ้นมาเปรียบเทียบกับสังคมมนุษย์ ทำให้ได้แง่คิดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการจัดการตนเอง
ปลาหมึกยักษ์ถือกำเนิดขึ้นประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว (มนุษย์ประมาณ 2 แสนปี) ในขณะที่สัตว์อื่นๆ ได้สูญพันธุ์ไปหลายชนิด ปลาหมึกยักษ์มีสมองส่วนกลางเพียง 10% เท่านั้น ในขณะที่ 60% กระจายอยู่ตามแขนทั้ง 8 ซึ่งแต่ละแขนสามารถ “คิดเองได้” และลงมือปฏิบัติการได้เองโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง และสมองที่เหลืออีก 30% อยู่ที่บริเวณหัวมีตา 2 ดวงสามารถปรับเข้าออกเหมือนกับเลนส์ของกล้องถ่ายรูป ปลาหมึกยักษ์ตัวเมียสามารถเก็บเชื้ออสุจิของตัวผู้ไว้ในร่างกายได้นานเป็นสัปดาห์เพื่อรอให้ไข่สุกซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้
นอกจากนี้ปลาหมึกยักษ์ยังมีระบบการปกป้องตนเองโดยการพ่นสารพิษเพื่อหลบหนี สารพิษบางชนิดอาจทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตายได้ (ดูวิดีโอได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=VLkKiVIBxXU)
ปลาหมึกยักษ์ไม่มีหู แต่สามารถเรียนรู้จากดวงตาที่มหัศจรรย์และประสาทสัมผัสจากแขนทั้ง 8 ในแง่ของการกระจายอำนาจ ผมทราบว่าประเทศญี่ปุ่นมีการกระจายอำนาจดีมากทั้งจำนวนทรัพยากรและการตัดสินใจ ให้อำนาจกับการปกครองท้องถิ่น คล้ายกับปลาหมึกยักษ์ ในขณะที่รัฐไทยเน้นที่การรวมศูนย์
สิ่งที่ผมเรียกร้องในห้องบรรยายก็คือ ภาคประชาสังคมต้องปรับปรุงตนเองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ภาพสุดท้ายในวันนี้มาจากสไลด์ของ Gerd Leonhard (ผู้สนใจศึกษาและบรรยายเรื่องอนาคต) เขาได้ยกเอาคำพูดของ David Bowie มาสรุปว่า
“อนาคตจะเป็นของผู้ที่สามารถได้ยินว่าอนาคตกำลังมาแล้ว”
สุดท้าย ผมได้ยกเอาคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ด้านชีววิทยาที่ยิ่งใหญ่ของโลกคือ Charles Darwin ที่ว่า“ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุดที่จะเป็นผู้อยู่รอด แต่คือผู้ที่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดเท่านั้น”
นั่นคือเราต้องมีใบหูที่ใหญ่ดังในรูป (แหะๆ) และมีสองหูเพื่อเอาไว้รับฟังเยอะๆ ในขณะที่มีเพียงปากเดียวซึ่งน่าจะหมายถึงให้พูดน้อยกว่าการรับฟังความเห็นของผู้อื่นครับ