xs
xsm
sm
md
lg

แพ้-ชนะว่ากันทีหลัง แต่นาทีนี้"แม้ว"เสียหน้ามาก !!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

**ใครจะนึกว่ากำลังไล่ถลุงตีโต้ฝ่ายตรงข้ามกันอย่างเมามัน สำหรับ "นช.แม้ว" ทักษิณ ชินวัตร ที่ช่วงหลังมีการเคลื่อนไหวคอยแซะ คอยแหย่รัฐบาล คสช.อยู่หลายจังหวะ ล่าสุดก็เพิ่งจะโชว์ความรวย อวดนาฬิกาหรูราคากว่า 3 ล้าน กะว่าเกทับ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำลัง"ติดหล่มยืมนาฬิกาเพื่อน" จนแกะไม่ออกมาจนถึงบัดนี้
แต่ก็นั่นแหละ พอเปิดผลั๊วะออกมา ล่าสุด ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย "เลือดไหลไม่หยุด" ยังดีที่ครบกำหนดเส้นตายต้องสังกัดพรรคภายใน 90 วัน เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาเสียก่อน จึงต้องหยุดกันเพียงแค่นั้น
ใช่แล้ว ที่เกริ่นมาแบบนี้กำลังพูดถึงเรื่องปรากฏการณ์ "เฮโล" ยกขบวนเดินออกจากพรรคเพื่อไทย กันแบบล้นหลาม ชนิดที่เรียกว่า หากไม่ปิดเส้นตายในวันที่ 26 พฤศจิกายน เสียก่อน รับรองว่าคงจะได้เห็นอีกหลายคนที่เป็นระดับ "เกรดเอ" ไหลออกไปอีก
ก่อนหน้านี้ใครจะเชื่อว่า จะมีอดีต ส.ส. รวมไปถึงเครือข่าย "แกนนำนปช." จะกล้าตีจาก หันหลังให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งนั่นเท่ากับเดินหันหลังให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกกันว่า "นายใหญ่" กันเลยทีเดียว เพราะนั่นเท่ากับ "ฆ่าตัวตาย" หมดอนาคตทางการเมืองแน่นอน
**ขณะเดียวกัน หากมองอีกมุมหนึ่งในทางตรงกันข้าม การ"ไหลออก"คราวนี้มันจึงไม่ต่างจาก "กรรมสนอง" ที่เคยทำกับคนอื่นเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เป็นต้นมา ตอนนั้นมีทั้งดูด ควบรวม ซื้อยกพรรค กันเลยทีเดียว
แน่นอนว่า สำหรับการ"ย้ายพรรค" หรือ "ย้ายข้าง" ของอดีต ส.ส. และอดีต"ขาใหญ่"คนใกล้ตัวออกมาในคราวนี้ จะออกมาด้วยสาเหตุแท้จริงแบบไหนก็ตาม แต่ประเด็นก็คือ "ทำไมถึงกล้าเดินออกมา" ต่างหาก และตามข้อเท็จจริงแล้วยังเป็นการ "แตกไปอยู่หลายพรรค" ไม่ใช่แค่พรรคพลังประชารัฐ พรรคเดียว เพราะมีบางคนที่ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย ไปพรรคชาติไทยพัฒนา ก็มี หรือแม้กระทั่งการย้ายหรือ "แยก" ออกไปสู่บางพรรคที่แม้จะถูกมองว่าเป็นเครือข่ายเดียว กัน อย่างเช่นพรรค"เพื่อชาติ" ที่มี จตุพร พรหมพันธุ์ และยงยุทธ ติยะไพรัช ให้การสนับสนุนอยู่ก็ตาม แต่มันก็ปรากฏร่องรอยให้เห็นว่า มันมีอาการ "หมางใจ" กันลึกๆ ออกมาให้เห็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามที่จะสื่อความหมายให้เห็นว่า "ไม่ดูดำดูดี" กันเลย
ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า จตุพร พรหมพันธุ์ พยายามจะสื่อความหมายออกมาให้เห็นแบบนั้น หลังจากที่ตัวเองต้องเข้าไปอยู่คุก อยู่พักหนึ่ง และถูกตัดสิทธิ์ การเมืองเป็นเวลา 10 ปี แม้จะไม่สื่อกันตรงๆ แต่คำพูดที่บอกว่าอยู่ในคุกได้สอนอะไรให้เห็นหลายอย่าง แต่ก็ได้เห็นร่องรอยที่ไม่ปกติ ไม่แนบแน่นเหมือนเดิมก็แล้วกัน
เพราะเวลานี้หากจะนับเกรดกันก็พอเข้าใจได้ว่า พรรคเพื่อไทย เป็นบริษัทแม่ เวลานี้พรรคที่เป็นบริษัทลูก ที่พรรคเพื่อไทยถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็คือพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ใช่พรรคเพื่อชาติ ที่เป็นได้แค่พรรค"แนวร่วมของคนละพวก" เท่านั้น
ขณะเดียวกัน หากให้โฟกัสไปที่ อดีต ส.ส.ระดับเกรด เอ หรือกลุ่มการเมืองที่เรียกว่าเป็นประเภท "ดาวฤกษ์" มีพลังในตัวเอง ก็ถือว่าน่าสนใจ แต่ถึงอย่างไร มันก็น่าแปลกใจที่คนพวกนี้ไหลออกมา เช่น กลุ่มอุบลฯ ของ สุพล ฟองงาม กลุ่มจังหวัดเลยของ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข หรือแม้แต่ระดับปลายแถวอย่าง "แรมโบ้อีสาน" สุภรณ์ อัตถาวงศ์ จากนครราชสีมา ที่เป็นระดับแกนนำ นปช. ระดับแถวหน้าแม้จะไม่ใช่หัวแถวแต่ก็มีชื่อชั้นมีอันดับพอสมควร นี่ก็กล้าหาญแตกแถวออกมาเป็นคนแรกๆ ให้เป็นที่ฮือฮา
จากนั้นก็ไหลตามกันมากันทั่ว ที่นอกจากในภาคอีสานแล้ว ในภาคเหนือตอนล่าง เหนือตอนบนก็ไหลมา และที่เป็น "กรณีศึกษา" ก็คือการย้ายออกมาของ กลุ่ม "กำแพงเพชร" ที่นำโดย วราเทพ รัตนากร และเครือข่ายของ "เรืองวิทย์ ลิกค์" ผู้ล่วงลับ
แต่ที่ต้องพูดถึงกันไม่จบก็คือการจากมาของ เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ลูกชายของ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รวมไปถึงกรณีของ "จุรีพร สินธุไพร" น้องสาวของ นิสิต สินธุไพร แกนนำแดงตัวเอ้
ที่ต้องจับตาก็คือ คำพูดที่ระบายพรั่งพรูออกมาจากปากของลูกชาย บุญทรง ทำนองว่า สาเหตุที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะ "ไม่ไว้ใจกัน" ในความหมายที่ว่า นอกจากพ่อติดคุกแล้วไม่ดูดำดูดี แล้วยังระแวงอะไรบางอย่างอีกด้วย และที่แสบสันต์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ขอลงสมัคร ส.ส.เขตในพื้นที่ของพ่อที่เชียงใหม่เสียด้วย
ขณะที่"น้องสาวของนิสิต" ก็บอกว่าจะขอลง ส.ส.ร้อยเอ็ด ซึ่งกรณีของนางจุรีพร สินธุไพร ก็น่าจับตาเหมือนกัน เพราะอดีตเคยเป็นแกนนำ นปช.ภาคตะวันออก ในพื้นที่พัทยา เรียกได้ว่าเป็นระดับ "ขาใหญ่" มีความใกล้ชิดจนสามารถเข้านอกออกในถึงตัว "นายใหญ่" ก็ว่าได้ และว่ากันว่า ตัว นิสิต เองก็เกือบ "ย้ายค่าย" มาแล้ว และเมื่อฟังจากปากของน้องสาวก็ยอมรับว่า "ได้ปรึกษากับพี่ชายมาแล้ว"
**ดังนั้น หากพิจารณากันในนาทีนี้ เมื่อได้เห็นภาพการไหลออกมาจากพรรคเพื่อไทย ของอดีต ส.ส.แกนนำ นปช. ระดับหัวแถวที่กล้าแตกออกมาชุดใหญ่แบบนี้ ถือว่าน่าสนใจ พูดกันไม่จบ และแม้ว่าในสนามเลือกตั้งวันหน้าผลจะเป็นเช่นไรก็ตาม จะแพ้หรือชนะไม่รู้ แต่เวลานี้สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ถือว่า "เสียหายหลายแสน" ที่สำคัญมันเสียฟอร์ม เสียหน้า จนแทบไม่อยากจะพูดกับใครแล้ว !!
กำลังโหลดความคิดเห็น