xs
xsm
sm
md
lg

บทสรุปของประชาธิปไตยอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องไหลไปตาม “กระแส” นั่นแหละทั่น คือคงต้องแวะไปดู “เลือกตั้งกลางเทอม” ของคุณพ่ออเมริกาเขาสักหน่อย ซึ่งมาถึง ณ บัดนาว ณ วินาที ก็คงเป็นที่ทราบๆ กันไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ว่าคงไม่ถึงกับมีอะไรน่าตื่นเต้ลล์ล์ล์มากมายสักเท่าไหร่ คือออกไปในแนวแพ้มั่ง ชนะมั่ง ไม่มีใครแพ้ขาด ชนะขาด ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ หรือระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ที่คงไม่ต่างอะไรไปจาก “เป๊ปซี่” กับ “โคล่า” ในการเมืองอเมริกานั่นแล...

ถ้าว่ากันตามการนับคะแนนเสียงคราวล่าสุด ขณะกำลังเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ การชิงเก้าอี้ ส.ส.ในสภาล่าง จำนวน 435 ที่นั่งคราวนี้ เดโมแครตเขาคว้าไปแล้วเกินครึ่ง หรือเกินกว่า 218 ที่นั่ง หรือเท่ากับสามารถคุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาล่างได้เป็นผลสำเร็จในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็ไม่น่าจะถึงกับทำให้ “ทรัมป์บ้า” หายบ้าแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่อย่างใด แม้ว่าอาจต้องลดๆ ความบ้าบางอย่าง บางประการลงไปมั่ง เช่นเวลาจะออกกฎหมายแปลกๆ แบบกฎหมายให้สร้าง “กำแพงเม็กซิโก” อะไรประมาณนั้นหรือประเภทกฎหมายภาษี กฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม ฯลฯ อาจต้องมีอันถูกถ่วง ถูกรั้ง ด้วยจำนวนเสียงส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร จนอาจไม่ถึงกับบ้าได้เต็มสตีม ได้แบบสุดฤทธิ์ สุดหลอด เหมือนอย่างเคย...

แต่คงไม่ถึงขั้นต้องหงายหลัง ตกเก้าอี้ ต้องสิ้นสติสมประดีอะไรกันมากมาย...โดยเฉพาะต่อการแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือ ในอันคิดจะ “ถอดถอนประธานาธิบดี” ออกจากตำแหน่ง หรือที่เรียกๆ กันว่ากระบวนการ “Impeachment” อะไรทำนองนั้น เพราะโดยกระบวนดังกล่าวหนีไม่พ้นต้องอาศัยเสียงรับรองประมาณ 2 ใน 3 ของ “สภาบน” หรือวุฒิสภา ซึ่งจากการเลือกตั้งคราวนี้ พรรครีพับลิกันของ “ทรัมป์บ้า” ก็ยังคง “นอนมา” โดยไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า คือยังสามารถคว้าเก้าอี้ได้ไม่น้อยกว่า 51 เก้าอี้ หรือเกินครึ่งของจำนวนเสียงทั้งหมดในวุฒิสภา ส่วนเดโมแครตเห็นว่าได้ไปประมาณ 45 ที่นั่ง ใกล้ๆ ประมาณนี้ หรือโดยสรุปรวมความแล้ว รีพับลิกันชนะใน “สภาสูง” เดโมแครตชนะใน “สภาล่าง” ส่งผลให้บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ยังคงต้องบริโภคเป๊ปซี่และโคล่า ชนิดท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวกันไปตามสภาพนั่นเอง...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...คงไม่ได้ถึงกับส่งผลให้ “การเมืองอเมริกา” ต้องเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนโฉม ไปจากเดิมมากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในแง่บทบาท อิทธิพลที่มีต่อโลกทั้งโลก ก็คงต้องเป็นไปตามแบบฉบับอเมริกาๆ เช่นเดิม อย่างที่ “Rick Sterling” เหยี่ยวข่าวอาวุโส ประเภทสืบสวนสอบสวนผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง ให้ความเห็นไว้กับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” นั่นแหละว่า อเมริกาก็ยังคงเป็นประเทศที่ต้องแสดงออกถึงความกระหายสงคราม ความก้าวร้าว และความพยายามที่จะเป็น “ประมุขโลก” ฯลฯ ต่อไป โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าอยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของการเมืองในอเมริกา อันจะมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งโลกแล้ว สู้หันไป “ลุ้น” รอให้ภูเขาไฟระดับ “Supervolcano” อย่างภูเขา “เยลโลว์สโตน” ระเบิดเป็นครั้งที่ 4 น่าจะมีอะไรให้ลุ้นมากกว่าเป็นไหนๆ...

เพราะถึงแม้จะรอกันมาแล้วประมาณ 640,000 ปี...แต่ถ้าหากระเบิดขึ้นมาคราวนี้ ว่ากันว่าแรงระเบิดน่าจะพอๆ กับปริมาณระเบิดปรมาณูไม่ต่ำกว่า 1,000 ลูก อันนี้...รับรองว่าไม่ว่าเป๊ปซี่-โคล่า ไม่ว่าเดโมแครต-รีพับลิกัน หายเกลี้ยง!!! ไม่เหลือเอาไว้ทำยา ไม่สามารถสร้างความท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ให้กับใครต่อใครได้อีกต่อไปโดยเด็ดขาด แม้ว่า “ความเป็นไปได้” จะมีอยู่แค่ประมาณ 0.0014 เปอร์เซ็นต์ ตามที่นักธรณีวิทยาอเมริกันเขาคาดคำนวณเอาไว้ก็เถอะ แต่เห็นว่าช่วงหลังๆ นี้ ภูเขาไฟรายที่ว่าท่านชักออกฤทธิ์ ออกเดช หรือออกจะแสดงความกระตือรือร้นมากซะยิ่งกว่าบรรดา “นักการเมือง” ในอเมริกาเป็นไหนๆ...

ก็อย่างที่อดีตวุฒิสมาชิกอเมริกัน “นายPaul Craig Roberts” ผู้เป็นทั้งอดีตนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักเขียน และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ฯลฯ ท่านได้ระบายความรู้สึกเอาไว้ในบทความชิ้นล่าสุด เรื่อง “What This Election is About” ท่ามกลางการเลือกตั้งกลางเทอมเที่ยวนี้เอาไว้นั่นแหละว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว “สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยในอเมริกา...ก็คือการหลอกลวง” นี่ หนักหนาสาหัสถึงขั้นนั้น หรือ “คือการปกครองประเทศด้วยคณาธิปไตย (Oligarchy) โดยที่ประชาชนไม่ว่าจะเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับและยอมจำนนไปโดยตลอด...”

ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งกลางเทอม หรือต้นเทอมก็แล้วแต่ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับ “การเมืองอเมริกา” ผู้ที่ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศอเมริกาในตลอดทุกขั้นตอนแล้ว ก็คงไม่ถึงกับตื่นเต้ลล์ล์ล์ ตื่นตา ตื่นใจ อะไรกันมากมาย ด้วยเหตุเพราะต่างมองเห็นถึงพลังอำนาจของสิ่งที่เรียกว่า “Oligarchy” หรือบางครั้งก็เรียกว่า “Deep State” หรือ “Establishment” ฯลฯ ก็แล้วแต่ ซึ่งแผ่ขยาย ครอบคลุมไปแทบทั่วทุกสัดส่วนของการเมืองอเมริกา โดยเฉพาะนับจากหลัง “สงครามกลางเมือง” เป็นต้นมา หรือนับจากอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน อย่าง “อับราฮัม ลินคอล์น” อดไม่ได้ที่จะต้องอุทานเอาไว้ก่อนตาย หรือก่อนถูกลอบสังหาร แค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมงประมาณว่า... “บรรษัทได้ครองประเทศไปแล้ว ศักราชแห่งโกงกินในระดับสูงสุดจะตามมา อำนาจเงินจะมีบทบาทเหนือทุกสิ่งทุกอย่างไปอีกนาน โดยอาศัยความหลงผิดของประชาชนเป็นเครื่องมือ...”

ด้วยเหตุนี้...โดยสรุปรวมความ ก็คงไม่ถึงกับต้องไปตื่นเต้ลล์ล์ล์ ตื่นตา ตื่นใจ อะไรมากมายนัก สำหรับการเลือกตั้งในอเมริกาเที่ยวนี้ เผลอๆ...อาจจะจืดชืด จืดสนิท เมื่อเทียบกับ “การเมืองในบ้านเรา” ที่กำลังแตกหัว แตกตัว แตกเซลล์ ชนิดแทบแยกไม่ออก บอกไม่ถูกแล้วว่า ระหว่าง “เผาไทย” “เผาธรรม” “เผาชาติ” หรือเผาอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย สุดท้าย...อะไรมันจะมีพลังอำนาจในการ “เผา” ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ปีหน้า ได้มาก-น้อยไปกว่ากัน!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น