งานทางด้านการประพันธ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ร้อยแก้ว ได้แก่การเขียนบอกกล่าวเล่าความไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีจินตนาการเหนือความเป็นปกติธรรมดา แต่ถ้างานร้อยแก้วมีจินตนาการเช่น หนังสือปฐมสมโพธิกถา เป็นต้น ในวิชาวรรณกรรมวิจารณ์เรียกว่า ร้อยกรองในร้อยแก้ว (Poetry in Prose) แต่ตามปกติแล้วการเขียนร้อยแก้วจะดำเนินไปเรื่อยๆ เพลโตจึงบอกว่าเป็นเหมือนการเดิน (Prose is Like Walking)
2. ร้อยกรอง ได้แก่ การเขียนโดยมีจินตนาการเหนือสิ่งที่คนปกติมองเห็น แต่ถ้างานร้อยกรองไม่มีจินตนาการ วิชาวรรณกรรมวิจารณ์เรียกว่า กระดูกแห้ง (Dried Bone) และนอกจากมีจินตนาการแล้ว งานร้อยกรองจะต้องมีฉันทลักษณ์ควบคุมการใช้ภาษาตามประเภทของคำประพันธ์นั้นๆ เพลโตเปรียบงานร้อยกรองว่าเหมือนการเต้นรำ คือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยมีจังหวะของดนตรีคอยควบคุม
เพลงเป็นงานประพันธ์ประเภทร้อยกรอง จึงจะต้องมีจินตนาการในทางสร้างสรรค์ และในขณะเดียวกัน จะต้องมีฉันทลักษณ์ตามกฎเกณฑ์ของคำประพันธ์นั้นๆ คอยควบคุม เช่น กลอนแปดบทหนึ่งมี 4 บาท และกำหนดให้คำสุดท้ายของบทที่ 1 สัมผัสกับคำที่ 3 ของบทที่ 2 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของบาทที่ 3 และคำสุดท้ายของบาทที่ 3 สัมผัสกับคำที่ 3 ของบาทที่ 4 เป็นต้น
นอกจากมีสัมผัสเสียงดังกล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งเป็นกฎบังคับและเรียกว่าเป็นสัมผัสของกลอนแปด ยังนิยมให้มีสัมผัสระหว่างกันภายในแต่ละบาท และจะเป็นสัมผัสเสียง หรือสัมผัสอักษรก็ได้ ดังตัวอย่างกลอนบทหนึ่งซึ่งผู้เขียนได้แต่งไว้เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวที่แหลมสน หาดสมิหลา จังหวัดสงขลา เมื่อประมาณ 30 กว่าปีมาแล้ว
หาดทรายขาว ยาวสุดตา จดฟ้ากว้าง
สนสล้าง แลละลิ่ว เป็นทิวแถว
สุรีย์ส่อง ต้องพื้นทราย ประกายแพรว
วิเวกแว่ว เสียงสน สายลมพา
ถ้าท่านผู้อ่านฟังเพลงไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเภทที่เรียกเป็นภาษาตลาดว่า ลูกกรุง จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่นอกจากไม่ค่อยมีสัมผัสซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของงานประพันธ์ประเภทร้อยกรองแล้ว ยังไม่มีเนื้อหาสาระที่แฝงไว้เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ ส่วนจินตนาการในทางสร้างสรรค์อันเป็นส่วนหนึ่งของงานประพันธ์ประเภทร้อยกรองแทบจะหาฟังได้ยาก
ส่วนเพลงไทยลูกทุ่ง ส่วนใหญ่ยังมีเอกลักษณ์ของบทร้อยกรองคือ มีคำสัมผัส มีเนื้อหาสาระให้เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ และมีจินตนาการสะท้อนวิถีชีวิตของสังคมชนบท อันเป็นสังคมปฐมภูมิไว้ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีคุณแก่งานทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้าน
แต่ก็มีอยู่บ้างเป็นส่วนน้อยที่เพลงไทยลูกทุ่งมีเนื้อหาเบี่ยงเบนไปในทางลามกอนาจาร ดังที่เกิดขึ้นและเป็นข่าว เมื่อเพลงบอกเล่าถึงหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งคบหาเป็นคู่รักกัน และต่อมาฝ่ายชายไปคบหากับสาวคนใหม่และจะแต่งงานกัน ทำให้สาวคนเก่าเสียใจ แต่ยินดีกับอดีตคนรักและขอร้องให้ฝ่ายชายครวญครางออกชื่อตนเอง เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับสาวคนใหม่
เกี่ยวกับเพลงนี้ได้มีคนเข้าไปฟังทางโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก และส่วนหนึ่งฟังแล้วแสดงความเห็นในเชิงคัดค้านไม่เห็นด้วย และบางท่านเช่นคุณระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ถึงกับประณามว่าเป็นเพลงลามกอนาจาร บริภาษคนแต่งและเจ้าของค่ายเพลงว่าไม่รับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งฟังดูแล้วผู้เขียนเห็นด้วย เพราะการเขียนคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง จะต้องมีศิลปะในการแสดงออก แม้กระทั่งเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์นักกวีในยุคก่อนก็แต่งกวีเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ที่เรียกว่า บทอัศจรรย์ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องพระอภัยมณีตอนที่นางสุวรรณมาลีถามท้าวศรีสุวรรณ ซึ่งไปหลงรักนางละเวงน้องสาวของอุปเรศ ซึ่งเป็นศัตรูคู่สงครามกันว่า
เอาจมูก ต่างดาบ ปราบแก้มขวา
เอาหัตถา ต่างตะบอง ตีต้องกัน
เอาอะไร ต่างหอก บอกมาพลัน
ศรีสุวรรณ ก้มหน้า ไม่พาที
จะเห็นได้ว่า คำประพันธ์ข้างต้นได้พูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ แต่สุนทรภู่ได้ห่อหุ้มไว้ด้วยศิลปะในการใช้ภาษา และมีจินตนาการทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลามก
แต่เพลงที่เป็นข่าวไม่มีศิลปะในการใช้ภาษา และไม่มีจินตนาการในเชิงกวี จึงเข้าข่ายข้อเขียนลามก เป็นมลพิษแก่ผู้ฟัง และยังเป็นการทำลายวัฒนธรรมไทยด้วย
1. ร้อยแก้ว ได้แก่การเขียนบอกกล่าวเล่าความไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีจินตนาการเหนือความเป็นปกติธรรมดา แต่ถ้างานร้อยแก้วมีจินตนาการเช่น หนังสือปฐมสมโพธิกถา เป็นต้น ในวิชาวรรณกรรมวิจารณ์เรียกว่า ร้อยกรองในร้อยแก้ว (Poetry in Prose) แต่ตามปกติแล้วการเขียนร้อยแก้วจะดำเนินไปเรื่อยๆ เพลโตจึงบอกว่าเป็นเหมือนการเดิน (Prose is Like Walking)
2. ร้อยกรอง ได้แก่ การเขียนโดยมีจินตนาการเหนือสิ่งที่คนปกติมองเห็น แต่ถ้างานร้อยกรองไม่มีจินตนาการ วิชาวรรณกรรมวิจารณ์เรียกว่า กระดูกแห้ง (Dried Bone) และนอกจากมีจินตนาการแล้ว งานร้อยกรองจะต้องมีฉันทลักษณ์ควบคุมการใช้ภาษาตามประเภทของคำประพันธ์นั้นๆ เพลโตเปรียบงานร้อยกรองว่าเหมือนการเต้นรำ คือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยมีจังหวะของดนตรีคอยควบคุม
เพลงเป็นงานประพันธ์ประเภทร้อยกรอง จึงจะต้องมีจินตนาการในทางสร้างสรรค์ และในขณะเดียวกัน จะต้องมีฉันทลักษณ์ตามกฎเกณฑ์ของคำประพันธ์นั้นๆ คอยควบคุม เช่น กลอนแปดบทหนึ่งมี 4 บาท และกำหนดให้คำสุดท้ายของบทที่ 1 สัมผัสกับคำที่ 3 ของบทที่ 2 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 สัมผัสกับคำสุดท้ายของบาทที่ 3 และคำสุดท้ายของบาทที่ 3 สัมผัสกับคำที่ 3 ของบาทที่ 4 เป็นต้น
นอกจากมีสัมผัสเสียงดังกล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งเป็นกฎบังคับและเรียกว่าเป็นสัมผัสของกลอนแปด ยังนิยมให้มีสัมผัสระหว่างกันภายในแต่ละบาท และจะเป็นสัมผัสเสียง หรือสัมผัสอักษรก็ได้ ดังตัวอย่างกลอนบทหนึ่งซึ่งผู้เขียนได้แต่งไว้เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวที่แหลมสน หาดสมิหลา จังหวัดสงขลา เมื่อประมาณ 30 กว่าปีมาแล้ว
หาดทรายขาว ยาวสุดตา จดฟ้ากว้าง
สนสล้าง แลละลิ่ว เป็นทิวแถว
สุรีย์ส่อง ต้องพื้นทราย ประกายแพรว
วิเวกแว่ว เสียงสน สายลมพา
ถ้าท่านผู้อ่านฟังเพลงไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเภทที่เรียกเป็นภาษาตลาดว่า ลูกกรุง จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่นอกจากไม่ค่อยมีสัมผัสซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของงานประพันธ์ประเภทร้อยกรองแล้ว ยังไม่มีเนื้อหาสาระที่แฝงไว้เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ ส่วนจินตนาการในทางสร้างสรรค์อันเป็นส่วนหนึ่งของงานประพันธ์ประเภทร้อยกรองแทบจะหาฟังได้ยาก
ส่วนเพลงไทยลูกทุ่ง ส่วนใหญ่ยังมีเอกลักษณ์ของบทร้อยกรองคือ มีคำสัมผัส มีเนื้อหาสาระให้เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ และมีจินตนาการสะท้อนวิถีชีวิตของสังคมชนบท อันเป็นสังคมปฐมภูมิไว้ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีคุณแก่งานทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้าน
แต่ก็มีอยู่บ้างเป็นส่วนน้อยที่เพลงไทยลูกทุ่งมีเนื้อหาเบี่ยงเบนไปในทางลามกอนาจาร ดังที่เกิดขึ้นและเป็นข่าว เมื่อเพลงบอกเล่าถึงหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งคบหาเป็นคู่รักกัน และต่อมาฝ่ายชายไปคบหากับสาวคนใหม่และจะแต่งงานกัน ทำให้สาวคนเก่าเสียใจ แต่ยินดีกับอดีตคนรักและขอร้องให้ฝ่ายชายครวญครางออกชื่อตนเอง เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับสาวคนใหม่
เกี่ยวกับเพลงนี้ได้มีคนเข้าไปฟังทางโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก และส่วนหนึ่งฟังแล้วแสดงความเห็นในเชิงคัดค้านไม่เห็นด้วย และบางท่านเช่นคุณระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ถึงกับประณามว่าเป็นเพลงลามกอนาจาร บริภาษคนแต่งและเจ้าของค่ายเพลงว่าไม่รับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งฟังดูแล้วผู้เขียนเห็นด้วย เพราะการเขียนคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง จะต้องมีศิลปะในการแสดงออก แม้กระทั่งเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์นักกวีในยุคก่อนก็แต่งกวีเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้ที่เรียกว่า บทอัศจรรย์ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องพระอภัยมณีตอนที่นางสุวรรณมาลีถามท้าวศรีสุวรรณ ซึ่งไปหลงรักนางละเวงน้องสาวของอุปเรศ ซึ่งเป็นศัตรูคู่สงครามกันว่า
เอาจมูก ต่างดาบ ปราบแก้มขวา
เอาหัตถา ต่างตะบอง ตีต้องกัน
เอาอะไร ต่างหอก บอกมาพลัน
ศรีสุวรรณ ก้มหน้า ไม่พาที
จะเห็นได้ว่า คำประพันธ์ข้างต้นได้พูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ แต่สุนทรภู่ได้ห่อหุ้มไว้ด้วยศิลปะในการใช้ภาษา และมีจินตนาการทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลามก
แต่เพลงที่เป็นข่าวไม่มีศิลปะในการใช้ภาษา และไม่มีจินตนาการในเชิงกวี จึงเข้าข่ายข้อเขียนลามก เป็นมลพิษแก่ผู้ฟัง และยังเป็นการทำลายวัฒนธรรมไทยด้วย