xs
xsm
sm
md
lg

ยุติศึกเยเมนภายใน 30 วัน???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นางพาเมลา เบนเนตต์</b>
ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องไปว่ากันถึง “ข่าวสั้นๆ” แต่ต้องถือเป็นข่าวที่น่ายินดี น่าปลาบปลื้มมิใช่น้อย โดยเฉพาะถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันสามารถเป็นไปได้ตามข่าวที่ว่า นั่นก็คือกรณีที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ “พลเอกเจมส์” หรือ “จิม แมตทิส” ผู้แม้จะได้ชื่อ ฉายา ว่า “หมาบ้า” แต่ก็ดูจะมี “สติ” และ “สัมปชัญญะ” มิใช่น้อย เมื่อเทียบบรรดาผู้มีบทบาท อำนาจ ในรัฐบาลอเมริกันชุดนี้ ที่ได้ออกมาพูดจาแบบชัดถ้อย ชัดคำ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันอังคาร (30 ต.ค.) ที่ผ่านมา ว่าจะพยายามหาทาง “ยุติการสู้รบ” ภายในประเทศเยเมน ให้ได้ภายใน 30 วัน...!!! !!! !!!

อันที่จริง...ข่าวที่ว่านี้ ยังไม่ถึงกับมีน้ำหนักพอที่จะตั้งความหวัง ความปรารถนาใดๆ ได้มากมายนัก เพราะบ่อยครั้ง...ที่คำพูด คำจาของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ นั้น มักต้องกลายเป็น “คนละเรื่อง-คนละม้วน” กับคำพูด คำจา ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ไปซะแทบทุกครั้ง แต่คราวนี้...ไม่ใช่แต่เฉพาะคำพูดของรัฐมนตรีกลาโหมเท่านั้น รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายไมค์ ปอมเปโอ” ผู้ซึ่งอาจถือเป็น “ลูกกะโป่ง” ข้างซ้ายของ “ทรัมป์บ้า” ก็ออกมาพูดวันรุ่งขึ้นในโทนเดียว สำเนียงเดียวกันกับรัฐมนตรีกลาโหมนั่นแหละว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามหาทางยุติการสู้รบในเยเมน ไม่ว่าจะโดยฝ่ายพวกกบฏฮูตี หรือฝ่ายกองกำลังสัมพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กำลังทางอากาศเข้าโจมตีเป้าหมายของฝ่ายตรงกันข้าม อันนำมาซึ่งความสูญเสียให้กับพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ชนิดหนักหนาสาหัสมาโดยตลอด...

ส่วนอะไรที่ทำให้ “ต่อมมนุษยธรรม” ของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มทำงานกันบ้างแล้ว อันนั้น...คงยากที่จะหาข้อสรุปได้ชัดๆ จะเป็นเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังคิดปรับเปลี่ยนท่าทีและนโยบายบางอย่างกับรัฐบาลซาอุฯ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจ บารมีของผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็น “ฆาตกรหมายเลข 1” ในการสังหารโหดนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” อย่างที่ใครต่อใครกำลังจับแพะ ชนแกะอยู่ในทุกวันนี้ หรือไม่? อย่างไร? หรือเป็นเพราะเสียงเรียกร้องของบรรดาเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ ที่พยายามออกมาป่าวประกาศทำนองว่า ถ้าการสู้รบในเยเมนยังดำเนินต่อไปอีกสักพัก “โศกนาฏกรรมครั้งที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ” ระดับที่โลกทั้งโลกมีสิทธิ์ได้เห็นเพื่อนมนุษย์ร่วมวัฏสังสาร ต้องล้มตายกันชนิดรวดเดียวไม่ต่ำกว่า 12-13 ล้านคน ย่อมเป็นไปไม่ได้ไม่ยากส์ส์ส์ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ คงต้องไปหาข้อสรุปกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ถ้าหากรัฐบาลอเมริกัน ที่เป็นผู้สนับสนุนด้านอาวุธให้กองทัพพันธมิตรที่นำโดยซาอุฯ มาโดยตลอด คิดจะเอาจริงเอาจังกันบ้างแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่น่าปลาบปลื้มยินดีเอามากๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่...

แม้ว่า “เหตุผล” ของบรรดาผู้มีอำนาจทางการเมือง กับเหตุผลของปุถุชนคนธรรมดา มันมักไม่ได้สอดคล้องต้องกัน หรือเป็นไปในแนวเดียวกันมากมายสักเท่าไหร่ แต่ในประเทศอเมริกาทุกวันนี้ ก็ยังพอมีปุถุชนคนธรรมดาอย่าง “นางพาเมลา เบนเนตต์” (Pamela Bennett) ราษฎรเต็มขั้นแห่งนครซานฟรานซิสโก ที่พยายามออกมาเรียกร้อง ผลักดันให้หาทางยุติการสู้รบในประเทศเยเมน ชนิดยอมเอาตัว หรือเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก ด้วยการ “อดอาหารประท้วง” มาตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา ไม่ยอมกินข้าว กินปลา กินแต่น้ำส้ม น้ำซุป น้ำดื่ม ถ่ายทอดสดการกระทำของตัวเองผ่านเฟซบุ๊ก (Yemen Rising) มากว่า 4 สัปดาห์เข้าไปแล้ว โดยอาศัย “เหตุผลส่วนตัว” แบบเรียบๆ ง่ายๆ ประมาณว่า... “มันเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเอาเลย สำหรับเราชาวอเมริกันทั้งหลายที่ยังมีข้าว ปลา อาหาร บริบูรณ์ ขณะเพื่อนมนุษย์อย่างชาวเยเมนจำนวนนับสิบๆ ล้านกำลังล้มตายเพราะการขาดอาหาร โดยที่รัฐบาลของเราเองมีส่วนรับผิดชอบอย่างมาก ต่อเหตุการณ์เช่นนี้ และในขณะที่สื่อตะวันตกทั้งหลาย กลับไม่ได้คิดทำหน้าที่ของตัวเองในการกระตุ้นเตือนจิตสำนึกทางมนุษยธรรมของบรรดาผู้มีอำนาจอย่างเท่าที่ควรจะเป็น ฉันเลยต้องตัดสินใจแสดงออกด้วยวิธีการเช่นนี้”...

ระหว่างเหตุผลของปุถุชนคนธรรมดา กับเหตุผลของผู้มีอำนาจทางการเมือง จะเหมือนกัน คล้ายกันหรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากมันนำไปสู่ข้อสรุปอันเดียวกัน นั่นคือการ “ยุติศึกเยเมน” ซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 จนถึงปลายตุลาคม ปี ค.ศ. 2018 ร่วมๆ 3 ปีกว่าๆ เข้าไปแล้ว ภายใต้การตัดสินใจของมกุฎราชการและรัฐมนตรีกลาโหมซาอุฯ เจ้าชาย “MbS” ผู้ได้แสดงออกถึงความ “ทรงพระเหี้ยม” อย่างสม่ำเสมอ ย่อมต้องถือเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้ม ยินดี และเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ชอบธรรม อย่างมิอาจปฏิเสธได้ อย่างน้อยที่สุด...บรรดาผู้ที่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” ของความทรงพระเหี้ยมของเจ้าชายรายนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเภท “คนดัง” อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” หรือคนธรรมดาๆ อย่างบรรดาชาวเยเมนก็น่าจะพอได้ไปสู่สัมปรายภพ ด้วยความปลอดโปร่ง โล่งใจ ขึ้นมามั่ง...

โดยเฉพาะบรรดาเหยื่อที่เป็นคนธรรมดาๆ อย่างชาวเยเมนทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ว่ากันว่า...ไม่ใช่แค่ตายไปประมาณ 10,000 ศพ อย่างที่สหประชาชาติได้เคยให้ตัวเลขสถิติเอาไว้ ตัวเลขล่าสุด ที่ “นายแพทริค ค็อตเบิร์น” (Patrick Cockburn) คอลัมนิสต์แห่งหนังสือพิมพ์ “The Independent” ได้นำมาเปิดเผย โดยอ้างจากตัวเลขสถิติที่นักวิจัยแห่งองค์กร “The Armed Conflict Location and Event Data Project-ACLED” อย่าง “นายแอนเดรีย คาร์โบนี” (Andrea Carboni) ลงไปรวบรวมรายละเอียดถึงภายในประเทศเยเมนด้วยตัวเอง มีจำนวนสูงกว่าตัวเลขสหประชาชาติเพิ่มขึ้นไปถึง 5 เท่า คือสรุปว่า ตลอดช่วง 3 ปี ที่กองทัพซาอุฯ และพันธมิตร ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธโดยมิได้ขาดจากรัฐบาลประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกาและอังกฤษ ได้เปิดฉากสงครามในเยเมน ส่งผลให้ชาวเยเมนน่าจะล้มตายลงไปแล้ว ไม่ต่ำไปกว่า 56,000 ราย หรืออาจขึ้นไปถึง 70,000-80,000 รายเอาเลยก็ไม่แน่ ส่วนที่กำลังใกล้ตายอีกประมาณ 12-13 ล้านราย อันเป็นอะไรที่รัฐบาลตะวันตก หรือสื่อตะวันตก น่าจะให้น้ำหนัก ให้ความสำคัญ ไม่น้อยไปกว่าการตายของ “นายคาช็อกกี” ขึ้นไปเป็นพันๆ หมื่นๆ เท่า...

แต่ก็เอาเป็นว่า...ไม่ว่า “คนดัง” อย่าง “นายคาช็อกกี” หรือคนธรรมดาๆ อย่างบรรดาชาวเยเมนทั้งหลาย ต่างต้องถือเป็น “มนุษย์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น...การที่ผู้ที่มีบทบาท อำนาจในรัฐบาลอเมริกา เริ่มหันมามองเห็น “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” ขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ย่อมต้องถือเป็นเรื่องน่ายินดีไปด้วยกันทั้งสิ้น เหลือแต่ “รัฐบาลอังกฤษ” ของ “นางเทเรซา เมย์” เท่านั้น ที่ไม่ว่าคนดังอย่าง “นายคาช็อกกี” หรือคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อ มีเสียง อย่างชาวเยเมนจะล้มตายกันไปสักเท่าไหร่ ก็ยังออกอาการแบ่งรับ แบ่งสู้ ไม่ถึงกับออกมาขานรับแนวคิดของรัฐบาลอเมริกันในเรื่องนี้แบบเต็มปาก เต็มคำ อาจด้วยเหตุเพราะรายได้จากการขายอาวุธ แม้แต่อาวุธต้องห้ามอย่าง “ระเบิดพวง” ให้กับกองทัพซาอุฯ มันยังอัดแน่นอยู่ในปาก หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ความพยายาม “ยุติการสู้รบในเยเมนภายใน 30 วัน” จึงยังเป็นอะไรที่คงต้องรอลุ้นกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น