**จะเรียกว่า"เหนือความคาดหมาย"ได้ตลอดเวลา สำหรับ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จากเดิมที่เคยหันหลังให้กับโลกโซเชียล แต่มาวันนี้กลับหักมุมเป็นตรงกันข้าม หันมารุกใช้สื่อดังกล่าวทุกช่องทางสื่อสารกับชาวบ้าน เรียกขานต้วเองว่า "ตู่ดิจิทัล"ไปแล้ว
ในช่วงเริ่มแรกอาจจะยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง แต่ระยะหลังจะมีการ "โพสต์" ข้อความและภาพถ่ายทั้งในแบบส่วนตัว ทั้งของตัวเองและคนในครอบครัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนภายนอกได้เห็นภาพในบ้านของเขาแบบใกล้ชิดกันมากขึ้น
ขณะเดียวกัน จากความเคลื่อนไหวล่าสุดที่สังกตดูแล้ว จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"เริ่มชิน" กับสังคมในโลกโซเชียลฯ มากขึ้น โดยเฉพาะ"ข้อความที่โพสต์ด่า" โดยเขาบอกว่าคนด่าก็เป็นคนเดิม จึงรู้สึกเฉยๆ แล้ว
จากความเคลื่อนไหว เมื่อวานนี้ (24 ตุลาคม) ทั้งก่อนและหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี จะสังเกตเห็นอารมณ์ ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวให้เข้าโลกยุคใหม่ นั่นคือ "โลกโซเชียลฯ" เช่น มีการให้เวลาส่วนตัวถ่ายภาพกับสื่อ หรือการเซลฟี่กับสื่อ แล้วนำไปโพสต์ลงในเพจเฟซบุ๊ก และไอจี สะท้อนออกมาใน "มุมน่ารัก"และ "ซอฟต์ลง" ถนัดตา
ขณะเดียวกัน ยังสามารถใช้ช่องทางดังกล่าวสื่อสารกับชาวบ้านให้ได้รับรู้ ที่สำคัญก็คือ สามารถ "หาเสียง" ได้อย่างทันใจ
"ขณะนี้มีเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาที่ต้องแก้ไข เช่น เรื่องของโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน เขตมีนบุรี ขาดถังน้ำเย็น เรื่องนี้ผมจะให้กรุงเทพมหานคร ลงไปดูแล นอกจากนี้ยังมีเรื่องโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ จังหวัดอุบลราชธานี มีเด็กดูแลแม่ที่ป่วยหนัก ไม่มีญาติ ยากจน อาศัยนอนบริเวณทางเดินของโรงพยาบาล ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปติดตามดูแล และยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ผ่านสื่อโทรทัศน์ ทั้งเรื่องของคนยากจน คนยากไร้ นอนกลางดิน กินกลางทราย ไม่มีที่อยู่อาศัย ผมจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปดู ทั้งขอทาน คนไร้บ้าน ก็ให้นำเข้ามาดูแลในศูนย์พักพิง และนำไปฝึกอาชีพ หาบ้านให้อยู่อาศัยเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ก็จะทยอยทำ เพราะประเทศไทยคนยากจน คนด้อยโอกาสมีจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลนี้มีการขับเคลื่อนมาโดยตลอด โดยมีแผนระยะยาว หลายเรื่องเป็นปัญหาที่ทับซ้อนมายาวนาน ถ้าเอากฎหมายมาจับทั้งหมด ก็คงจะเดือดร้อนกันทั้งหมด จึงต้องหามาตรการที่เหมาะสม"
นั่นคือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เปิดเผยให้ทราบว่า ได้แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านทั่วประเทศ อันเนื่องจากการโพสต์ข้อความเข้ามาขอความช่วยเหลือ หรือนำเสนอปัญหาเข้ามาผ่านทางโลกโซเชียลฯ
**แน่นอนว่า นี่คือช่วงเริ่มต้น แต่ได้เห็นแนวโน้มแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังใช้สื่อโซเชียลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสังเกตจากคำพูดเขาก็ได้บอกว่า กำลังเรียนรู้และทำความเข้าใจกับการสื่อประเภทนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สมาร์ทโฟน การถ่ายภาพ หรือแม้แต่ความคิดที่จะ"ไลฟ์สด" ในอนาคตอันใกล้เมื่อทุกอย่างเข้าที่มากกว่านี้
จากอารมณ์ที่เห็นทำให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มเคยชินกับอารมณ์ และเสียงด่าของพวก "เกรียน" ในโลกโซเชียลฯ ที่หลายคนกำลังจับตามองว่า เขาจะไปได้สักกี่น้ำ จะมีอารมณ์ปรี๊ดแตก อย่างที่เคยเป็นหรือไม่ เมื่อต้องเจอกับเสียงด่าที่ประดังกันเข้ามาแบบรัวๆ แต่จากคำพูดข้างต้น ที่ย้ำว่า "คนด่าก็เป็นคนเดิม"แสดงให้เห็นว่า เขาเริ่มชิน และปรับตัวได้แล้ว
ดังนั้น หากพิจารณาจากท่าที่และความเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังใช้สื่อโชเชียลฯ ในการสื่อสารกับชาวบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นสังคมวงกว้างในทุกระดับ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ที่มีผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ว่านาทีนี้สถานะยังไม่ชัดเจน ทุกคนก็มองออก ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนบุคลิกที่ดูซอฟต์ ลงมาก มันก็เหมือนกับการสร้างความเป็นมิตร เปิดทางให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญก็คือ "หาเสียงได้ถึงตัวได้มากขึ้น"
**และแม้ว่าในสังคมประเภทนี้ย่อมต้องมีฝ่ายตรงข้าม พวกที่ไม่ชอบเข้ามาเมนต์ ด่าจำนวนมาก แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกระแส และเหตุผลชี้นำว่าจะไปทางไหนมากกว่ากัน !!
ในช่วงเริ่มแรกอาจจะยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง แต่ระยะหลังจะมีการ "โพสต์" ข้อความและภาพถ่ายทั้งในแบบส่วนตัว ทั้งของตัวเองและคนในครอบครัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนภายนอกได้เห็นภาพในบ้านของเขาแบบใกล้ชิดกันมากขึ้น
ขณะเดียวกัน จากความเคลื่อนไหวล่าสุดที่สังกตดูแล้ว จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"เริ่มชิน" กับสังคมในโลกโซเชียลฯ มากขึ้น โดยเฉพาะ"ข้อความที่โพสต์ด่า" โดยเขาบอกว่าคนด่าก็เป็นคนเดิม จึงรู้สึกเฉยๆ แล้ว
จากความเคลื่อนไหว เมื่อวานนี้ (24 ตุลาคม) ทั้งก่อนและหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี จะสังเกตเห็นอารมณ์ ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ที่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวให้เข้าโลกยุคใหม่ นั่นคือ "โลกโซเชียลฯ" เช่น มีการให้เวลาส่วนตัวถ่ายภาพกับสื่อ หรือการเซลฟี่กับสื่อ แล้วนำไปโพสต์ลงในเพจเฟซบุ๊ก และไอจี สะท้อนออกมาใน "มุมน่ารัก"และ "ซอฟต์ลง" ถนัดตา
ขณะเดียวกัน ยังสามารถใช้ช่องทางดังกล่าวสื่อสารกับชาวบ้านให้ได้รับรู้ ที่สำคัญก็คือ สามารถ "หาเสียง" ได้อย่างทันใจ
"ขณะนี้มีเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาที่ต้องแก้ไข เช่น เรื่องของโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน เขตมีนบุรี ขาดถังน้ำเย็น เรื่องนี้ผมจะให้กรุงเทพมหานคร ลงไปดูแล นอกจากนี้ยังมีเรื่องโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ จังหวัดอุบลราชธานี มีเด็กดูแลแม่ที่ป่วยหนัก ไม่มีญาติ ยากจน อาศัยนอนบริเวณทางเดินของโรงพยาบาล ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปติดตามดูแล และยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ผ่านสื่อโทรทัศน์ ทั้งเรื่องของคนยากจน คนยากไร้ นอนกลางดิน กินกลางทราย ไม่มีที่อยู่อาศัย ผมจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปดู ทั้งขอทาน คนไร้บ้าน ก็ให้นำเข้ามาดูแลในศูนย์พักพิง และนำไปฝึกอาชีพ หาบ้านให้อยู่อาศัยเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ก็จะทยอยทำ เพราะประเทศไทยคนยากจน คนด้อยโอกาสมีจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลนี้มีการขับเคลื่อนมาโดยตลอด โดยมีแผนระยะยาว หลายเรื่องเป็นปัญหาที่ทับซ้อนมายาวนาน ถ้าเอากฎหมายมาจับทั้งหมด ก็คงจะเดือดร้อนกันทั้งหมด จึงต้องหามาตรการที่เหมาะสม"
นั่นคือ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เปิดเผยให้ทราบว่า ได้แก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านทั่วประเทศ อันเนื่องจากการโพสต์ข้อความเข้ามาขอความช่วยเหลือ หรือนำเสนอปัญหาเข้ามาผ่านทางโลกโซเชียลฯ
**แน่นอนว่า นี่คือช่วงเริ่มต้น แต่ได้เห็นแนวโน้มแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังใช้สื่อโซเชียลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสังเกตจากคำพูดเขาก็ได้บอกว่า กำลังเรียนรู้และทำความเข้าใจกับการสื่อประเภทนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สมาร์ทโฟน การถ่ายภาพ หรือแม้แต่ความคิดที่จะ"ไลฟ์สด" ในอนาคตอันใกล้เมื่อทุกอย่างเข้าที่มากกว่านี้
จากอารมณ์ที่เห็นทำให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มเคยชินกับอารมณ์ และเสียงด่าของพวก "เกรียน" ในโลกโซเชียลฯ ที่หลายคนกำลังจับตามองว่า เขาจะไปได้สักกี่น้ำ จะมีอารมณ์ปรี๊ดแตก อย่างที่เคยเป็นหรือไม่ เมื่อต้องเจอกับเสียงด่าที่ประดังกันเข้ามาแบบรัวๆ แต่จากคำพูดข้างต้น ที่ย้ำว่า "คนด่าก็เป็นคนเดิม"แสดงให้เห็นว่า เขาเริ่มชิน และปรับตัวได้แล้ว
ดังนั้น หากพิจารณาจากท่าที่และความเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังใช้สื่อโชเชียลฯ ในการสื่อสารกับชาวบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นสังคมวงกว้างในทุกระดับ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ที่มีผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ว่านาทีนี้สถานะยังไม่ชัดเจน ทุกคนก็มองออก ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนบุคลิกที่ดูซอฟต์ ลงมาก มันก็เหมือนกับการสร้างความเป็นมิตร เปิดทางให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญก็คือ "หาเสียงได้ถึงตัวได้มากขึ้น"
**และแม้ว่าในสังคมประเภทนี้ย่อมต้องมีฝ่ายตรงข้าม พวกที่ไม่ชอบเข้ามาเมนต์ ด่าจำนวนมาก แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกระแส และเหตุผลชี้นำว่าจะไปทางไหนมากกว่ากัน !!