เมื่อจำนนด้วยหลักฐานมัดตัวแน่น ดิ้นรนอย่างไรต่อไปก็ไม่หลุด ก็ต้องหน้าด้านสู้กระแสโลกเข้าไว้! ถ้ามีความเสียหายเท่าไหร่ เอาไว้ว่ากันภายหลัง
นี่คงเป็นวิธีสุดท้ายของผู้นำรัฐซาอุดีอาระเบีย หลังจากจำใจยอมรับว่า “จามาล คาช็อกจิ” นักหนังสือพิมพ์ ได้ถูกสังหารจริง ภายในสถานกงสุลประจำกรุงอิสตันบูล แต่ยังอ้างว่าพวก “นักฆ่านอกแถว” ได้ทำเกินเลย พลาดพลั้งจนคาช็อกจิตาย
ชาวโลกได้ฟังแล้วต่างรู้สึกทุเรศสมเพช ก่อนหน้านี้ผู้นำรัฐซาอุฯ ต่างปฏิเสธ ยืนกระต่ายขาเดียว “ไม่รู้ไม่เห็น” อ้างว่าคาช็อกจิเข้าไปในสถานกงสุลจริง แต่ได้ออกไปแล้ว คงนึกไม่ถึงว่าแฟนสาวของคาช็อกจิได้เฝ้ารออยู่หน้าสถานกงสุล
เมื่อรอตั้งแต่ 13.15 น. วันที่ 2 ย่างเข้า 17.00 น. คาช็อกจิยังไม่โผล่ จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตุรกีได้รับทราบ จากนั้นกระบวนการสืบสวน สอบสวนโดยฝ่ายตุรกี ทั้งเปิดเผยหลักฐานการสังหารอย่างเลือดเย็น ทำให้ฝ่ายซาอุฯ รู้ว่าดิ้นต่อไปไม่ไหว
ฝ่ายตุรกี ซึ่งคงแอบดักฟังความเป็นไปในสถานกงสุล ใช้หลักฐานที่มีอยู่บีบให้ทางการซาอุฯ ยอมจำนน การเปิดข้อมูลทีละน้อยเท่ากับทดสอบฝ่ายซาอุฯ ว่ามีเจตนาจะโกหกให้ชาวโลกฟังได้นานแค่ไหน ดูท่าว่ายังอุบไต๋หลักฐานอีกเยอะ
เมื่อสารภาพแล้วว่าคาช็อกจิตายจริง แถมโบ้ยให้ทีมนักฆ่าเป็นแพะว่าทำงานเกินคำสั่ง ทั้งๆ ที่ชาวโลกเชื่อว่าคนบงการให้จัดการคือเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นตัวจริงในการกุมอำนาจเด็ดขาดและจัดการรัฐซาอุฯ
อายุเพียง 33 ปี มีทรัพย์สินเงินทองหลายแสนล้านปอนด์ มั่งคั่งเกินกว่าใครในดินแดนซาอุฯ อาจเว้นกษัตริย์ซัลมานผู้ครองนคร ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่มีใครกล้าขัดขวาง แต่ความเหิมเกริมได้สร้างความเสียหายมากต่อรัฐซาอุฯ ขาใหญ่โลกอาหรับ
แต่ผลสุดท้าย “เอ็มบีเอส” ฉายาและชื่อย่อของเจ้าชายซัลมาน คงรอดไปได้เพราะมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นตัวช่วยหลัก เพราะทรัมป์มองว่าผลประโยชน์มหาศาลของสหรัฐฯ จากความสัมพันธ์อันดีกับซาอุฯ อยู่เหนือทุกสิ่ง
ซาอุฯ จะสั่งซื้อสินค้ามูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้ง 110 แสนล้านเหรียญสำหรับอาวุธ ถือว่าเป็นเงินมหาศาล ในยามที่สหรัฐฯ กำลังเปิดศึกการค้ารอบด้านกับประเทศต่างๆ ที่ทรัมป์มองว่าเป็นทั้งมิตรและศัตรู ดังนั้น “เอ็มบีเอส” ก็รอด
แต่ความเสียหาย ความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลกมากด้วย ต้องใช้เวลาฟื้นฟู งานเสวนาเรื่องวิสัยทัศน์การลงทุน “ดาวอสในทะเลทราย” แทบไร้ความหมายเมื่อคนดัง และองค์กรใหญ่ด้านต่างๆ ในโลกตะวันตกตัดสินใจถอนตัว ไม่เข้าร่วมด้วย
แต่ “เอ็มบีเอส” ไม่แคร์ เพราะมีเงิน ตราบใดที่ทรัมป์ยังหนุนหลังอยู่ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ อีกไม่นานคนก็ลืมเพราะผลประโยชน์กับซาอุฯ มีความสำคัญมากกว่าชีวิตคนทำสื่อชาวซาอุฯ ที่ “ตายไปแล้ว ทำอย่างไรได้ ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไป”
ในยุคที่ทรัมป์เป็นใหญ่ “อะไรที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน” ถือเป็นเรื่องไม่สำคัญ ทรัมป์ไม่ใส่ใจว่าคนอเมริกันส่วนหนึ่งจะมองว่าเป็นตัวโกหกไม่ซ้ำเรื่อง ตราบใดที่ยังคงเป็นผู้กุมอำนาจในทำเนียบขาว จึงต้องอยู่ต่อไปด้วยเล่ห์กลเกมที่หาตัวจับยาก
ความหน้าด้านหน้าทน โกหกได้อย่างหน้าตาเฉยหลายครั้ง แต่ยังไม่จนมุมได้ เป็นรูปแบบใหม่ของสังคมการเมืองอเมริกัน การใช้ข้อมูลเท็จ การใส่ความ การใช้คำพูดสร้างความสงสัย และเล่ห์เหลี่ยมลูกเล่นโวหารต่างๆ ทำให้ทรัมป์ไร้คู่แข่ง
การอุ้ม “เอ็มบีเอส” ทำให้ชาติอื่นๆ ในยุโรปต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ เพราะการดึงดันต่อต้านผู้นำรัฐซาอุฯ อาจก่อให้เกิดผลกระทบในระยะยาว เพราะถึงอย่างไร ซาอุฯ ก็ยังเป็นขาใหญ่ในการส่งออกน้ำมันดิบ ขณะที่อิหร่านโดยคว่ำบาตร
แต่เรื่องไม่จบง่าย ยังมีความพยายามไล่ต้อนจับโกหกผู้นำซาอุฯ ซึ่งอ้างว่าสั่งลงโทษ สอบผู้ร่วมในแผนฆ่าคาช็อกจิ กลุ่มเพื่อนๆ เหยื่อโหดได้ยื่นข้อเรียกร้องขอให้ทางการซาอุฯ ส่งมอบศพคาช็อกจิเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเคารพผู้เสียชีวิต
ซาอุฯ จะทำได้อย่างไร เมื่อมีข่าวว่าร่างคาช็อกจิโดนหั่น ทำลายไปแล้ว! แต่จะมีข้ออ้างหรือนิทานโกหกเรื่องใหม่ให้ชาวโลกฟังอย่างไร หรือทำเงียบเฉย ต้องรอดู
ล่าสุด ทรัมป์เล่นเกมอันตรายใหม่ เพื่อดึงความสนใจของชาวโลกให้ห่างจากซาอุฯ นั่นคือคำประกาศว่าจะยกเลิกข้อตกลงเรื่องการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางกับรัสเซีย ซึ่งลงนามกันในยุคประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนกับผู้นำรัสเซีย
นั่นคือ มิคาอิล กอร์บาชอฟ เจ้าของนโยบายใหม่ในช่วงทศวรรษ 1980 จนเกิดการลุกฮือของประชาชนในยุโรปตะวันออก การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ และสหภาพโซเวียตแตก กลายมาเป็นรัสเซีย ปัจจุบันภายใต้ผู้นำ วลาดิมีร์ ปูติน
ทรัมป์อ้างง่ายๆ ว่าต้องยกเลิกเพราะรัสเซียได้ละเมิดสัญญา มุ่งผลิตอาวุธชนิดใหม่ๆ ทรัมป์ไม่หารือ หรือรอเจรจากับผู้นำรัสเซีย เป็นการกระทำฝ่ายเดียว เหมือนการถอนตัวจากข้อตกลงเรื่องภาวะโลกร้อนและข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับอิหร่าน
เป็นเรื่องน่าประหลาด ทรัมป์จุดประเด็นนี้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือมีการปรึกษาหารือผู้นำทหาร ฝ่ายความมั่นคงแต่อย่างใด เพราะข้อตกลงนี้ได้ถูกรับรองโดยฝ่ายสภาคองเกรส เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่ก็อีกนั่นแหละ ทรัมป์ไม่สน
ชาติต่างๆ ในยุโรปคงหูตาเหลือก เพราะถ้ามีอะไรหรือการสู้รบเกิดขึ้น จุดที่จะเละที่สุดก็คือยุโรปทั้งทวีป และเกาะอังกฤษคงหนีไม่พ้น และทรัมป์เป็นคนที่เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ คนอเมริกันยังไม่เคยเจอผู้นำบ้าระห่ำไม่แคร์ใครแบบนี้
สหรัฐฯ จะอยู่รอด ดีหรือร้าย ส่งผลต่อชาวโลกอย่างไร อยู่ที่ทรัมป์นี่แหละ!