ผู้จัดการรายวัน360-"พาณิชย์"เผยยอดส่งออกเดือน ก.ย. ติดลบ 5.20% เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 19 เดือน มีสาเหตุจากฐานปีก่อนสูงจากการส่งออกทองคำและยานยนต์ เจอพิษสงครามการค้า และวิกฤตการเงินในประเทศเกิดใหม่ แต่ภาพรวม 9 เดือน ยังโตได้ 8.13% มั่นใจทั้งปีทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 8% แน่นอน
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนก.ย.2561 มีมูลค่า 20,699.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 5.20% เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน นับจากเดือนก.พ.2560 ที่ส่งออกติดลบ 2.87% แต่การส่งออกรวมในช่วง 9 เดือนของปี 2561 (ม.ค.-ก.ย.) ยังส่งออกได้ดี มีมูลค่า 189,729.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.13% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 20,212.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.90% และยอดนำเข้ารวม 9 เดือนมีมูลค่า 186,891.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.21% โดยเดือนก.ย.เกินดุลการค้า 487.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 9 เดือนเกินดุลการค้า 2,838.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกเดือนก.ย.2561 ที่ติดลบ 5.20% หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำออก จะลดลงเพียง 1.9% หากหักสินค้าทองคำออก ส่งออกลดลง 0.8% และหากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันออก ส่งออกลดลง 6.7%
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า การส่งออกไทยเดือนก.ย. 2561 ที่กลับมาติดลบครั้งแรกรอบ 19 เดือน มาจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ ฐานการส่งออกทองคำและรถยนต์ปีก่อนขยายตัวสูงมากทำให้ปีนี้ส่งออกลดลง โดยมูลค่าการส่งออกทองคำหายไป 967 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการส่งออกรถยนต์หายไป 187 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้ง 2 สินค้ารวมกันทำให้มูลค่าส่งออกลดลง 5.3% ผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ทำให้มูลค่าการส่งออกไทยหายไปประมาณ 402 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าลดลง 1.8% และวิกฤติการเงินในตลาดเกิดใหม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่งออกสินค้าไทยหายไปประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าลดลง 1% รวม 3 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้มูลค่าการส่งออกไทยหายไป 1,756 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลงไปประมาณ 8%
อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้า พบว่า มูลค่าหายไป 402 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 1.8% แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกผลกระทบทางตรง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่ถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้า การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวของไทยไปสหรัฐฯ เดือนก.ย.2561 มีมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 60.1% หรือมูลค่าหายไป 75 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น โซลาร์เซลส์ ลด 77.1% เครื่องซักผ้า ลด 87.4% เหล็ก ลด 60.4% อะลูมิเนียม เพิ่ม 65.5% กลุ่มสอง ผลกระทพ์ชนกกล่าวว่า การส่งออกไทยเดือนก.ย.2561 ที่ติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน มาจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ ฐานการส่งออกทองคำและรถยนต์ปีก่อนขยายตัวบทางอ้อมหรือกลุ่มสินค้าที่จีนถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษี และไทยเป็นซัปพลายเชนให้จีน ทำให้ส่งออกไปจีนลดลง โดยไทยส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวไปจีนประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.3% หรือมูลค่าหายไป 392 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ลด 24.1% เครื่องจักรและส่วนประกอบลด 35.6% เคมีภัณฑ์ ลด 11.1% และยานพาหนะและส่วนประกอบ ลด 37.4% และกลุ่มที่สาม ผลกระทบทางบวก เป็นสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทดแทนของจีน มีมูลค่า 1,813 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.7% หรือส่งออกได้เพิ่มขึ้น 65 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เพิ่ม 12.9% เคมีภัณฑ์ เพิ่ม 26.4% ยานพาหนะและส่วนประกอบ เพิ่ม 9.6% และเครื่องจักรและส่วนประกอบเพิ่ม 12.6%
"การส่งออกที่กลับมาขยายตัวติดลบ มีสาเหตุที่ตรวจสอบได้ และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกในภาพรวม โดยการส่งออก 9 เดือนยังโตได้ 8.13% และมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปี 2561 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าจะขยายตัว 8% โดยในช่วง 3 เดือนที่เหลือ (ต.ค.-ธ.ค.) จะต้องได้ส่งออกให้ได้เดือนละ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ"น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์ (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในเดือนก.ย.2561 มีมูลค่า 20,699.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 5.20% เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน นับจากเดือนก.พ.2560 ที่ส่งออกติดลบ 2.87% แต่การส่งออกรวมในช่วง 9 เดือนของปี 2561 (ม.ค.-ก.ย.) ยังส่งออกได้ดี มีมูลค่า 189,729.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.13% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 20,212.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.90% และยอดนำเข้ารวม 9 เดือนมีมูลค่า 186,891.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.21% โดยเดือนก.ย.เกินดุลการค้า 487.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 9 เดือนเกินดุลการค้า 2,838.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ การส่งออกเดือนก.ย.2561 ที่ติดลบ 5.20% หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำออก จะลดลงเพียง 1.9% หากหักสินค้าทองคำออก ส่งออกลดลง 0.8% และหากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันออก ส่งออกลดลง 6.7%
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า การส่งออกไทยเดือนก.ย. 2561 ที่กลับมาติดลบครั้งแรกรอบ 19 เดือน มาจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ ฐานการส่งออกทองคำและรถยนต์ปีก่อนขยายตัวสูงมากทำให้ปีนี้ส่งออกลดลง โดยมูลค่าการส่งออกทองคำหายไป 967 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการส่งออกรถยนต์หายไป 187 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้ง 2 สินค้ารวมกันทำให้มูลค่าส่งออกลดลง 5.3% ผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ทำให้มูลค่าการส่งออกไทยหายไปประมาณ 402 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าลดลง 1.8% และวิกฤติการเงินในตลาดเกิดใหม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่งออกสินค้าไทยหายไปประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าลดลง 1% รวม 3 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้มูลค่าการส่งออกไทยหายไป 1,756 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลงไปประมาณ 8%
อย่างไรก็ตาม หากแยกเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้า พบว่า มูลค่าหายไป 402 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือลดลง 1.8% แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกผลกระทบทางตรง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกของไทยที่ถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้า การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวของไทยไปสหรัฐฯ เดือนก.ย.2561 มีมูลค่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 60.1% หรือมูลค่าหายไป 75 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น โซลาร์เซลส์ ลด 77.1% เครื่องซักผ้า ลด 87.4% เหล็ก ลด 60.4% อะลูมิเนียม เพิ่ม 65.5% กลุ่มสอง ผลกระทพ์ชนกกล่าวว่า การส่งออกไทยเดือนก.ย.2561 ที่ติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน มาจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ ฐานการส่งออกทองคำและรถยนต์ปีก่อนขยายตัวบทางอ้อมหรือกลุ่มสินค้าที่จีนถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษี และไทยเป็นซัปพลายเชนให้จีน ทำให้ส่งออกไปจีนลดลง โดยไทยส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวไปจีนประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.3% หรือมูลค่าหายไป 392 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ ลด 24.1% เครื่องจักรและส่วนประกอบลด 35.6% เคมีภัณฑ์ ลด 11.1% และยานพาหนะและส่วนประกอบ ลด 37.4% และกลุ่มที่สาม ผลกระทบทางบวก เป็นสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทดแทนของจีน มีมูลค่า 1,813 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.7% หรือส่งออกได้เพิ่มขึ้น 65 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เพิ่ม 12.9% เคมีภัณฑ์ เพิ่ม 26.4% ยานพาหนะและส่วนประกอบ เพิ่ม 9.6% และเครื่องจักรและส่วนประกอบเพิ่ม 12.6%
"การส่งออกที่กลับมาขยายตัวติดลบ มีสาเหตุที่ตรวจสอบได้ และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกในภาพรวม โดยการส่งออก 9 เดือนยังโตได้ 8.13% และมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปี 2561 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าจะขยายตัว 8% โดยในช่วง 3 เดือนที่เหลือ (ต.ค.-ธ.ค.) จะต้องได้ส่งออกให้ได้เดือนละ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ"น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว