xs
xsm
sm
md
lg

จากซาอุฯ ถึงเยเมน...โหด-เลว-บ้า!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย</b>
ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องชวนไปดูฉากเหตุการณ์แถวๆ ประเทศเยเมนน่าจะเหมาะกว่า เพราะเหตุการณ์เรื่องราวที่ออกไปทาง “นิยายฆาตกรรม” อันสุดแสนสยดสยอง น่าขนลุกขนพอง ต่อนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” ไปๆ-มาๆ...ชักทำท่าว่าจะกลายเป็น “นิยายการเมือง” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือออกไปในแนวอย่างที่ “อาจารย์สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร” ท่านสรุปเอาไว้ในข้อเขียน บทความล่าสุดประมาณว่า “ทรัมป์กลายเป็น-ผงซักฟอกยี่ห้อใหม่” ให้กับมกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MbS” ผู้ “ทรงพระเหี้ยมม์ม์ม์” ชนิดม.ม้าแทบวิ่งไล่ไม่ทัน...นั่นแล...

คือสรุปเอาเป็นว่า...ด้วย “ผลประโยชน์” ไม่ว่าในทางส่วนตัว หรือส่วนรวม ก็แล้วแต่ สุดท้าย...ประเทศอภิมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ไม่เพียงแต่ต้องหลับตาซะหนึ่งข้าง ยังต้องออกแรงช่วยเหลือเยียวยา หาทาง “ฟอกขาว” ให้กับประเทศพันธมิตรอย่างซาอุดีอาระเบีย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้ว่าการตาย การเสียชีวิตของนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ณ สถานกงสุลซาอุฯ ในตุรกี มันออกจะเขย่าขวัญสั่นประสาทชาวโลกไปถึงขั้นไหน คือระดับตัดนิ้วออกทีละนิ้ว ก่อนตัดหัว ตัดตัว หั่นศพออกเป็นชิ้นๆ โดยฝีมือหนึ่งในทีมฆ่าที่เชี่ยวชำนาญในด้านนิติเวชโดยตรง ตามกระแสข่าวที่ร่ำลือออกมาอย่างเป็นระลอก แต่ก็อย่างว่า...ในเมื่อสิ่งที่เรียกว่า “ผลประโยชน์” มันย่อมไม่เข้าใคร-ออกใคร การสังหาร พร่าผลาญชีวิตมนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันโดยตรง แค่สักศพ-สองศพ คงไม่ได้ช่วยให้ “ต่อมมนุษยธรรม” ของ “ทรัมป์บ้า” กลับมาทำงานโดยปกติ แต่อย่างใด...

เพราะฉะนั้น...อาจต้องลองหันไปดูชีวิตมนุษย์ในเยเมนกันแทนที่ ที่ทุกวันนี้...คงไม่ใช่แค่ศพ-สองศพ แต่อาจนับเป็นล้านๆ ศพ หรือกำลังใกล้เป็นศพไม่ต่ำกว่า 12-13 ล้านราย ตามตัวเลขสถิติที่หัวหน้าผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งองค์การสหประชาชาติในเยเมน อย่าง “นางLise Grande” เพิ่งออกมาป่าวประกาศต่อชาวโลกทั้งโลก ไปเมื่อช่วงวันจันทร์ (15 ต.ค.) ที่ผ่านมา ว่าภายในช่วงระยะเวลาอีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้า ถ้าหากใครก็ตามในโลกนี้ ไม่อาจหยุดความ “ทรงพระเหี้ยม” ของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ อย่างเจ้าชาย “MbS” ผู้เปิด “ศึกเยเมน” ขึ้นมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ลงไปได้ ประชากรชาวเยเมนที่มีจำนวนประมาณ 29 ล้านคนในทุกวันนี้ อาจต้องล้มตายด้วยเจ็บปวดรวดร้าว ทรมาน ไม่น้อยไปกว่า “นายจามาล คาช็อกกี” หรือตายเพราะขาดอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค จำนวนไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรหรือประมาณ 12-13 ล้านรายนั่นเอง...

ด้วยเหตุเพราะในช่วงหลังๆ...พวก “กบฏฮูตี” (Houthi) ในเยเมน ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเจ้าชาย “MbS” นั้น สู้แบบ “สู้ไม่ถอย” และสามารถตอบโต้การบุกโจมตีเยเมนของกองทัพซาอุฯ และพันธมิตร UAE ได้อย่างหนักหนาสาหัสมิใช่น้อย ไม่ว่าบุกเข้าไปถล่มสนามบิน ระเบิดคลังน้ำมัน กองบัญชาการทหาร ลึกเข้าไปในเขตแดนซาอุฯ และ UAE หลายครั้ง หลายครา เจ้าชาย “MbS” ท่านเลยต้องเปล่งอานุภาพแห่ง “ความเหี้ยม” ด้วยการแก้แค้น เอาคืน เปิดฉากปฏิบัติการทิ้งระเบิดพื้นที่ต่างๆ ในเยเมน ชนิดแทบราบเป็นหน้ากลอง ปิดเมืองท่า “Hudeida” ที่เป็นจุดขนส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ที่เหลืออยู่เพียงจุดเดียวในเยเมนเพื่อตัดเสบียงพวกกบฏ แม้จะเป็นการตัดความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่โลกทั้งโลก พอจะยื่นมือเข้าไปถึงบรรดาพลเรือนผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายได้บ้าง...

ความ “ทรงพระเหี้ยม” ของเจ้าชาย “MbS” ในลักษณะเช่นนี้...ว่ากันว่า ทำให้ไม่ว่าโรงเรียน โรงพยาบาล หรือแม้แต่หน่วยงานช่วยเหลือทางมนุษยธรรมขององค์กรระหว่างประเทศ ยังพลอยต้อง “ซวย” ไปด้วย คือถูกทิ้งระเบิดใส่ชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลาสนใจว่าไผเป็นไผ จำนวนโรงเรียนในแต่ละแห่งถูกทิ้งระเบิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ผู้บริหารองค์กร “Save the Children” อย่าง “Helle Thorning-Schmidt” ที่เข้าไปสัมผัสบรรยากาศด้วยตัวเอง ถึงกับเรียกขานสงครามในเยเมน ว่าได้กลายเป็น “สงครามกับพวกเด็กๆ” ไปแล้ว หรือทำให้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา จำนวนเด็กๆ และพลเรือนที่ล้มตายไปเพราะปฏิบัติการทิ้งระเบิดชนิดมั่วไปหมด เพิ่มขึ้นไปถึง 164 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุด...เมื่อวันเสาร์ (13 ต.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง กองกำลังซาอุฯ และ UAE ได้ทิ้งระเบิดใส่รถโดยสารนักเรียน สังหารเด็กๆ และพลเรือนในเมือง “Hudeida” ไปอีก 17 ราย บาดเจ็บ 20 ราย...

แต่ก็ไม่ใช่แค่การบาดเจ็บ ล้มตาย ชนิดไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น ที่กำลังสร้างความเจ็บปวด รวดร้าว ให้กับผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในเยเมน ด้วยเหตุเพราะพื้นที่และแหล่งทรัพยากร ซึ่งไม่อุดมสมบูรณ์เพียงพอ จึงทำให้ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกประเทศนี้ ต้องเป็นประเทศที่ “สั่งเข้าอาหาร” จำนวนถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าสั่งเข้าทั้งหมดมานานแล้ว แต่ด้วยความพยายามที่จะตัดขาด ตัดแหล่งเสบียงของฝ่ายตรงข้าม ด้วยการปิดเมืองท่าเมืองเดียวเท่าที่เหลืออยู่ คือเมือง “Hudeida” ปิดน่านน้ำห้ามไม่ให้ผู้คนออกไปจากจับปู จับปลา ส่งผลให้ภาวะการขาดอาหารในเยเมนรุนแรงระดับที่ “นางLise Grande” ตัวแทนสหประชาชาติในเยเมน ถึงกับสรุปเอาไว้ว่า เป็นภาวะการขาดแคลนอาหารที่ “เลวร้ายที่สุดในรอบ 100 ปี” ของมวลมนุษยชาติ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แม้ว่า “นางLise Grande” จะเป็นชาวอเมริกันแท้ๆ แต่อาจด้วยเหตุที่ทำงานทางด้านมนุษยธรรมมานาน เคยเป็นตัวแทนด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติในซูดานใต้ ในคองโก อาร์เมเนีย อินเดีย และอิรัก ฯลฯ...สุดท้ายก็ยัง “รับไม่ได้” ต่อพฤติกรรมความ “เหี้ยม” ของกองทัพซาอุฯ-UAE และอดที่จะแสดงความ “อาย” ต่อบทบาทของรัฐบาลอเมริกัน รวมทั้งรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งยังคงส่งอาวุธไปขายให้กับกองทัพซาอุฯ และพันธมิตรเพื่อพร่าผลาญชาวเยเมนอยู่ต่อไปเรื่อยๆ หรือยังคงพยายามกอบโกย “ผลประโยชน์” หรือ “กำไร” จากสงครามคราวนี้ อย่างชนิดไม่รู้ร้อน-รู้หนาวใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งผู้ที่ไม่มีชาวอเมริกันแต่เป็นชาวนอร์เวย์ อย่าง “นางSuze van Meegen” แห่งสภาผู้ลี้ภัยชาวนอร์เวย์ (Norwegian Refugee Council) ถึงกับอดไม่ได้ที่จะต้องตั้งคำถามไว้ว่า... “คำถามที่เราอยากจะถามบรรดาประเทศที่มีอำนาจเหล่านี้ก็คือ หรือว่า...การมีงานทำ...ของผู้คนในอังกฤษและอเมริกา มีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของมวลมนุษย์ในเยเมน ???”

พูดง่ายๆ ว่า...ขนาดเห็นต่อหน้า-ต่อตา ว่าผู้ซึ่งเป็น “มนุษย์” กำลังถูกทรมาน ทรกรรม กำลังใกล้จะขาดใจตาย จำนวนไม่ต่ำกว่า 12-13 ล้านคน รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” และรัฐบาล “เมย์ มนุษย์ป้า” ยังออกอาการ “เฉยๆ” ไม่ได้คิดจะหยุดขายอาวุธ กระสุน ระเบิด ไม่ได้คิดจะหยุดยั้งความ “ทรงพระเหี้ยม” ของมกุฎราชกุมารและรัฐมนตรีกลาโหมซาอุฯ อย่างเจ้าชาย “MbS” เอาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้...การเฉือนทีละนิ้ว ตัดแขน ตัดขา ก่อนตัดหัว “นายคาช็อกกี” ที่ว่ากันว่า มีหลักฐานทั้ง “ภาพ” และ “เสียง” จากกงสุลซาอุฯในตุรกี ก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับรัฐบาลประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาและอังกฤษ หรือเป็นแค่ “นิยายการเมือง” ไปด้วยประการละฉะนี้...แล...


กำลังโหลดความคิดเห็น