xs
xsm
sm
md
lg

ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>นายRonald Ernest Paul อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา</b>
ด้วยเหตุเพราะดันไปอ่านข้อเขียน บทความของคุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” เรื่อง “โค้งสุดท้าย...หุ้นจะร้อนแรง???” ในคอลัมน์ “จันทราท่าพระอาทิตย์” เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของเรานี่เอง...เลยส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจ จนคงต้องปิดท้ายสัปดาห์นี้ ด้วยเรื่องประเภทเงินๆ-ทองๆ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้รู้เรื่อง รู้ราว เรื่องทำนองนี้กับใครเค้าสักเท่าไหร่ แถมยังไม่ได้มีเงิน มีทองชนิดอุ่นหนาฝาคั่ง หรือชนิดนอนสะดุ้งจนเรือนไหว แต่ก็เอาเถอะ...ในเมื่อชักรู้สึก “ของขึ้น” ตามคุณพี่ “สุนันท์” ไปด้วยแล้ว ก็ลอง “ตามไปดู” ก็แล้วกัน...

คือในข้อเขียน บทความของคุณพี่ “สุนันท์” นั้น...ดูๆ ท่านออกจะ “เห็นต่าง” หรือ “ไม่เห็นควรด้วย” กับบรรดาผู้ที่คิดว่าเศรษฐกิจบ้านเรากำลังมาแรง แซงโค้ง หรือกำลัง “ไปโลด” อะไรทำนองนั้นเช่นพวกที่อยู่ในวงการตลาดหุ้น อย่าง “สภาธุรกิจตลาดทุนไทย” หรือ “FETCO” เป็นต้น ที่ค่อนข้างมอง “โลกสวย” อยู่สักหน่อย ในทัศนะของคุณพี่ “สุนันท์” แม้จะไปหยิบเอาผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนเที่ยวล่าสุด หรือแม้แต่ตัวเลขจีดีพีมาอ้างอิงเอาไว้อย่างไรก็ตาม แต่สำหรับผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการหุ้น เคยออกหนังสือหุ้นชนิดเจ๊งมาแล้วไม่รู้กี่ฉบับต่อกี่ฉบับ อย่างคุณพี่ “สุนันท์” ท่านกลับเห็นว่า ไม่เพียงแต่ “ตลาดหุ้น” บ้านเรา กำลังทำท่าว่าน่าจะหนักไปทาง “โลกซวย” ไม่ใช่ “โลกสวย” แต่แม้กระทั่งภาวะ “เศรษฐกิจที่เป็นจริง” หรือเศรษฐกิจแบบชาวบ้านๆ ทั้งหลาย กลับออกไปทาง “ปางตาย” หรือ “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต” อะไรประมาณนั้น...

อันนี้นี่แหละ...เป็นสิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ ว่าเหตุใดถึงมุมมองของผู้ซึ่งจัดอยู่ในประเภทผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ระดับกูรู กูรู้ทั้งหลาย ในเรื่องประเภทเดียวกัน หรือทำนองเดียวกัน มันมักจะ “แตกต่าง” ไปในแบบ “คนละเรื่องเดียวกัน” หรือ “คนละเรื่อง-คนละม้วน” อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเรื่อง “เศรษฐกิจ” นี่แหละ ที่มักส่งผลให้เกิดอาการ “สองคนยลตามช่อง-คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม-อีกคนตาแหลมคม-มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” ไม่ว่าในบ้านเรา บ้านอื่น หรือแม้แต่โลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ อย่างเช่น ในประเทศอเมริกา ภายใต้การบริหารจัดการของผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” ทุกวันนี้ ถ้าฟังจากข่าวคราวของบรรดาพวกที่ชอบๆ ในเรื่องเงินๆ ทองๆ เรื่องหุ้น เรื่องพันธบัตร ฯลฯ อะไรทำนองนี้ โดยมุมมองมันมักออกไปทางคล้ายๆ พวก “FETCO” หรือพวก “สภาธุรกิจตลาดทุนไทย” ในบ้านเรา คือออกไปทาง “โลกสวย” เอามากๆ...

ไม่ว่าจะด้วยการไปหยิบเอาตัวเลขดัชนีการว่างงานในอเมริกา ที่ว่ากันว่า...ลดต่ำลงมาในรอบ 49 ปี 50 ปี เอาเลยถึงขั้นนั้น คืออยู่ที่ประมาณต่ำกว่า 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ส่วนตัวเลขอัตราเงินเฟ้อก็ว่ากันว่าเป็นไปตามเป้าหมายแบบเป๊ะๆ ส่งผลให้เกิดการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธนาคารอย่างเป็นระลอก จนกระทั่งมาอยู่ที่ 2.25 เปอร์เซ็นต์ในทุกวันนี้ และเห็นว่าปีหน้าอาจทยอยปรับขึ้นอีก จนก่อให้เกิดแรงดึงดูดต่อบรรดานักลงทุนที่ชอบเงิน ชอบทองทั้งหลาย หันไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กันอย่างเป็นกิจการ ชนิดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ขึ้นไปถึง 3.225 เปอร์เซ็นต์ พันธบัตรอายุ 30 ปี ขึ้นไปเป็น 3.39 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ เลยทำให้ “ทรัมป์บ้า” ถึงกับอดไม่ได้ต้องเอาไปคุยโม้ คุยโต ชนิด “แมงโม้” บินว่อนไปทั่วทั้งเวทีสหประชาชาติ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ผู้ที่รับบทเป็น “สุนันท์ ศรีจันทรา” แห่งอเมริกา ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย!!! และไม่ใช่เป็นแค่นักเขียน คอลัมนิสต์ระดับธรรมดาๆ เท่านั้นแต่เคยเป็นถึงอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัสมาไม่รู้กี่สมัยต่อกี่สมัย เป็นผู้เคยเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกา ในนามพรรครีพับลิกันมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา เป็นทั้งนักเขียน นักการเมือง และนักเศรษฐกิจ ที่เคยวิเคราะห์ ทำนายความเป็นไปทางเศรษฐกิจแบบชนิดถูกแล้วถูกอีกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่กลายเป็น “วิกฤตการเงินปี ค.ศ. 2008” นั่นก็คือผู้ซึ่งมีนามกรว่า “นายรอน พอล” (Ronald Ernest Paul) นั่นเอง ที่เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ ให้ทัศนะ มุมมองต่อโทรทัศน์ “CNBC” ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ด้วยการออกมา “ฟันธง” เอาไว้ชนิดเต็มผืน เต็มด้าม ว่า “ฟองสบู่” ในอเมริกา ที่อาจถือเป็น “ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ” กำลังจะแตก!!! ภายในปีหน้า ปีโน้น หรืออีกไม่นานเกินรอ อย่างชนิดไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่นได้เลย อันไม่เพียงแต่จะทำให้เศรษฐกิจอเมริกากลับไปสู่ภาวะถดถอย ระบบตลาดพังทลาย แต่ยังจะทำให้ “ตลาดหุ้นอเมริกา” มีสิทธิ์ดิ่งเหวลงไปไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หรือทำให้มูลค่าการซื้อ-ขายหดหายไปชนิดครึ่งต่อครึ่ง เอาเลยถึงขั้นนั้น...

นี่...ต้องเรียกว่า “ดุ” ซะยิ่งกว่า “สุนันท์ ศรีจันทรา” บ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า โดยแม้ว่าบรรดาเหตุผล ข้อมูล ที่ “นายรอน พอล” ท่านนำมาใช้อ้างอิง จะเป็นไปแบบชาวบ้านๆ หรือแบบตรงไป-ตรงมา ไม่ต้องไปเสียเวลาตกแต่ง สำรวจ วิจัย อะไรต่อมิอะไรให้มากมาย มากเรื่อง มากความ แต่มันล้วนเป็นเหตุผล ข้อมูล อันมิอาจปฏิเสธได้ หรือเป็น “ข้อเท็จจริง” แบบเน้นๆ เนื้อๆ นั่นเอง เช่นการสรุปว่า... “ปัญหาก็คือ...ประชาชนของเราเป็นหนี้ และรัฐบาลก็เป็นหนี้ และต่างก็ไม่มีปัญญาที่จะจ่ายคืน อีกทั้งไม่มีหนทางที่จะปรับปรุงแก้ไขปัญหาในระดับรากฐาน ดังนั้น...ในเมื่อเรายังต้องเป็นหนี้อีกต่อไป และพยายามแก้ไขด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม อันกลายเป็นตัวสร้างความผิดเพี้ยนให้กับอัตราดอกเบี้ยยิ่งๆ ขึ้นไป ผมจึงต้องสรุปว่า...เรากำลังอยู่ใกล้กับภาวะที่น่าสยดสยอง เพราะเรามีฟองสบู่ที่ใหญ่กว่าฟองสบู่ใดๆ เท่าที่เคยมีมา และมันกำลังจะแตกในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้...”

โดยเหตุผล ข้อมูลแบบชาวบ้านๆ หรือแบบตรงไป-ตรงมาที่ว่านี้...ไม่ว่าหน้าไหนต่อหน้าไหน กระทั่งแม้แต่ “ทรัมป์บ้า” ก็เถอะ คง “เถียงไม่ขึ้น” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุเพราะตัวเลขหนี้สินของประเทศอเมริกา ซึ่งได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการปาเข้าไปถึง “21 ล้านล้านดอลลาร์” ไปแล้วในทุกวันนี้ ขณะที่ตัวเลขจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ อยู่แค่ประมาณ 19 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง หรือจำนวนหนี้สินประเทศสูงกว่าจีดีพีไปถึง 111 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น เรียกว่า...ผลิตมาได้ 100 บาท 100 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่พอเอาไว้ใช้หนี้ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงการรับประทาน รับประแ-ก อะไรต่อมิอะไรอีกต่อไป และด้วยหนี้ระดับนี้นี่เอง ที่มันก่อให้เกิดปัญหาการ “ขาดดุลงบประมาณ” มาโดยตลอด จนกลายเป็นสิ่งประธานสภาสหรัฐฯ คนปัจจุบัน “นายพอล ไรอัน” (Paul Ryan) ต้องออกมาแสดงความวิตกกังวล หรือรู้สึกถึงความหวาดหวั่นขวัญสยองไม่น้อยไปกว่า “นายรอน พอล” เอาเลยก็ว่าได้...

และไม่ใช่แค่หนี้สินของรัฐบาล...ที่แทบไม่มีปัญญาจ่าย ชนิดต้องเพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณไปตลอดช่วงทศวรรษข้างหน้าไม่น้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป หนี้สินของภาคเอกชน หรือบรรดาบริษัทธุรกิจทั้งหลายที่พยายามระดมทุน ดูดเงินใครต่อใครในตลาดหุ้น เพื่อเอามาโปะหนี้ ยังทำให้ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ได้ถูกตั้งข้อสรุปเอาไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยธนาคารเพื่อการชำระหนี้ต่างประเทศ หรือธนาคาร “BIS” ว่าเป็นตลาดหุ้นที่แสดงออกถึงอาการ “Overvalued” หรืออาการที่มูลค่าหุ้นสูงเกินไปแพงเกินไป กว่ามูลค่าที่แท้จริงของแต่ละบริษัท ดังนั้น... “โค้งสุดท้าย” ของอเมริกาจะเป็นไปในแบบไหน อย่างไร อันนี้...ถ้าหากไม่เก็บไปคิดกันเอาเอง ก็อาจลองถามคุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” ลองดูก็ได้...


กำลังโหลดความคิดเห็น