ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA
และ
สรรเพชญ ภุมรินทร์ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (Business Analytics)
อดีตนักสถิติ ศูนย์วิจัยด้านตลาดการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA
และ
สรรเพชญ ภุมรินทร์ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (Business Analytics)
อดีตนักสถิติ ศูนย์วิจัยด้านตลาดการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จีนนั้นเป็นชาติใหญ่ มีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยิ่งสมัยนี้มีเงิน ซื้อไปแทบทุกอย่างจะทั่วโลก ยิ่งทำให้มีความภูมิใจในชาติตนเองสูง American Express เคยไปทำป้ายให้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเช่น พระราชวังฤดูร้อนในกรุงปักกิ่ง หรือ กู้กง แล้วก็เขียนคำบรรยายสถานที่ต่าง ๆ ลงท้ายป้ายบอกประวัติสถานที่ด้วยคำว่า Made possible by American Express เรื่องนี้ทำให้คนจีนโกรธแค้นมาก เพราะว่า พระราชวังนั้นไม่ได้สร้างโดยอเมริกาแต่อย่างใด และสร้างโดยคนจีนมานับเป็นพัน ๆ ปี อเมริกันจะเอาอีโก้อะไรมาครอบความเป็นจีนอันมีรากเหง้าอันยาวนานไม่ได้ ป้ายนั้นก็ถูกคนจีนไปขูดคำดังกล่าวออกไป แล้วก็เกิดกระแสรุนแรงต่อต้าน American Express จนทำธุรกิจในจีนล้มเหลว คนจีนไม่ยอมรับเลยและต่อต้านด้วยซ้ำ จีนเรียกประเทศตนเองว่าจงกั๋ว อันแปลว่าประเทศที่เป็นศูนย์กลางของโลก
ครั้งหนึ่งจีนเคยแทบจะครอบครองยุโรปด้วยซ้ำไปสมัยกุบไลข่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินจีน ดังนั้นอย่าได้แปลกใจว่าคนจีนเขาก็มีอัตตาและความภาคภูมิใจในความเป็นชาติของเขาเช่นกัน ไทยเราแต่โบราณก็รู้จัก จิ้มก้อง ทำให้ได้ผลประโยชน์และความสะดวกในการทำมาค้าขายกับจีน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงชาญฉลาดมาก และเก็บเงินค้าขายเหล่านั้นไว้เป็นเงินถุงแดงจนนำมากู้ชาติกู้แผ่นดินสมัยวิกฤติ รัตนโกสินทร์ศก 112 เมื่อฝรั่งเศสมาปิดปากอ่าวไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สำหรับคนไทยนั้นโชคดี คนจีนเรียกประเทศไทยว่า ไท่กั๋ว อันแปลว่าแผ่นดินที่ดีงาม เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายเป็นบวกมากเหลือเกิน
แต่เหตุการณ์เรือโดยสารล่มที่ภูเก็ตและมีนักการเมืองหรือนักข่าวบางคนบอกปัดความรับผิดชอบในลักษณะที่ว่า เรือเป็นของคนจีน ไม่ใช่ของคนไทย ทั้งๆ ที่นักท่องเที่ยวจีนมาตายในบ้านเราตั้งเกือบ 50 คน คำพูดในลักษณะนี้ซ่อมไม่ได้ คนตายแล้วซ่อมไม่ได้ คำพูดที่พูดออกไปแล้วก็ซ่อมไม่ได้เช่นกัน ลองคิดดูว่า การที่เขามาเสียชีวิตในบ้านเรา เพราะการบังคับใช้กฎหมายของบ้านเราเองต่างหากที่ย่อหย่อน มีการทุจริตคอรัปชั่น กินสินบาทคาดสินบนมาตลอด ทำให้ปล่อยให้คนจีนเข้ามาทำมาค้าขายผิดกฎหมายมากมายกันอย่างนี้กันได้อย่างไร บางมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีนักเรียนจีนเยอะๆ นั้น เปิดร้านขายของ ขายอาหาร ทำมาค้าขายกันอย่างเอิกเกริกข้างๆ มหาวิทยาลัย ขนาดพ่อค้าแม่ค้าขายส่งผักผลไม้ที่ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมืองรังสิต ก็ยังเป็นพ่อค้าแม่ค้าจีนมากมายแล้ว แถวห้วยขวาง แยกเหม่งจ๋าย ซินตึ๊งใหม่เหล่านี้ก็เปิดร้านขายของร้านอาหารกันอยู่เกลื่อนไปหมด ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายทำเช่นนั้นไม่ได้เลย
หลังเหตุการณ์เรือล่มแล้วเกิดการปฏิเสธปัดความรับผิดชอบของทางการไทย โดยคนระดับรองนายกรัฐมนตรีที่กล่าวว่าเป็นบริษัทโนมินีโดยคนจีนเอง ทำให้เกิดความโกรธแค้นแสนสาหัส และรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนก็ลดลงไปฮวบๆ นับแต่วันนั้น เพราะคนจีนนั้นถือว่าทางการไทยต้องดูแลกำกับควบคุมการทำธุรกิจการค้าในประเทศตัวเองให้ดี ต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าบริษัทไหนทำผิดก็ต่อให้เป็นคนจีนก็ต้องจับกุมและส่งกลับแจ้งทางการจีน ทางการจีนจะจัดการและดำเนินคดีทางกฏหมายอย่างเด็ดขาด ในขณะที่ประเทศไทยนั้นปล่อยปละละเลยให้คนต่างชาติเข้ามาทำอะไรต่อมิอะไร ทำมาค้าขาย ซ่องสุมก่อการร้ายก็เคยมีได้โดยเสรี แสดงให้เห็นปัญหาความย่อหย่อนของระบบตรวจคนเข้าเมืองอย่างชัดเจน คำถามคือ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทำหน้าที่เข้มแข็งพอหรือไม่ ถ้าแจ้งรายชื่อแล้วส่งกลับคืนให้ทางราชการจีน ให้ทางราชการจีนมารับตัวกลับไปลงโทษเองจะดีหรือไม่
มาวันนี้ก็เกิดเหตุการณ์เละเป็นโจ๊ก คลิปวีดีโอแพร่หลายที่แสดงให้เห็นว่ากระบวนการตรวจคนเข้าเมืองน่าจะมีปัญหาและมีการทุจริตรีดไถนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นเรื่องต่ำช้าและน่าละอายอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยที่เกิดพฤติกรรมชั่วของระบบราชการนับตั้งแต่วินาทีที่นักท่องเที่ยวเหยียบแผ่นดินไทย ช่างงามหน้าเหลือเกิน
Sermsuk Kasitipradit เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ นักข่าวอาวุโส ได้เผยแพร่คลิปดังกล่าวพร้อมเขียนคำวิจารณ์ไว้ว่า
แจ่มจันทร์ !!! (นายกชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น.....พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความเสียใจต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานดอนเมืองทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างมาก) "นายกฯ เห็นว่า แม้นักท่องเที่ยวจะไม่แสดงเอกสารยืนยันการเข้าพักในประเทศไทย ไม่ยินยอมเข้าห้องพักรอผู้โดยสาร และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่ควรควบคุมอารมณ์และปฏิบัติตามหลักสากล เพราะสนามบินเป็นด่านแรกของประเทศ ซึ่งจะต้องเน้นจิตบริการเป็นสำคัญ" รายงานล่าสุดจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ระบุว่า ได้พักงานเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวแล้ว และจะมีคำสั่งไล่ออกต่อไป เนื่องจากถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ส่งผลเสียหายต่อประเทศ นอกจากนี้ ทอท. ยังได้พักงานผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมือง และผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัย เป็นเวลา 30 วัน เพื่อสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และส่งผลการสอบสวนไปยังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยตรวจสอบต่อไป) ว่อนไลน์กัน คลิปนี้ข่าวว่าแพร่สะพัดสื่อออนไลน์ของจีน ภาพเหตุการณ์อย่างที่เห็นในคลิปข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่มีการชี้แจงอย่างข้อความที่อ่านหรือไม่ ไม่ชัดเจน เกิดเมื่อไหร่ก็ไม่ชัดเจน แต่งานนี้ทำให้ภาพลักษณ์จนท.ไทย ที่สนามบินดอนเมืองเสียหายหนัก ภาพเก้าอี้นั่ง น่าจะเป็นที่สนามบินดอนเมือง อย่างที่ระบุในข้อความข้างล่าง เอาข้อความที่โพสต์ส่งว่อนกันในไลน์มาให้อ่าน น่าจะเป็นข้อความที่แปลถ่ายถอดต่อจากภาษาจีน ถึงการทำงาน จนท.สนามบินดอนเมือง แจ่มจันทร์ครับงานนี้ เป็นข้อสังเกตที่ได้ยินมาตลอด....... ใครฟังภาษาจีนออกมาถ่ายถอดหน่อย ที่สนทนาว่ากันอย่างไร... ภาพทำร้าย นทท.จีนนี่แล้วมีการเก็บภาพแชร์ต่อว่อนเนท กระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย งานนี้ดูไม่จืด...(เพื่อนในเฟส แปลมาให้เสร็จข้อความที่สนทนากันในคลิป ในเม๊นท์ตอบข้างล่าง ขัดเจนว่าสนทนากันเรื่องอะไร...ตามนั้น..) "ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะว่า นักท่องเที่ยวจีนไม่ยอมจ่ายค่าบริการพิเศษที่ตม. เรียกเก็บ ซึ่งเรียกกันเป็นประจำในอัตรา 2000+300 บาท ใน 2,000 บาทนั้นมีใบเสร็จ แต่อีก 300 บาทไม่มีใบเสร็จ นี่ไม่ใช่ค่าวีซ่านะครับ ไม่เกี่ยวกัน แต่เป็นส่วนที่ตม. เรียกเก็บเองต่างหากครับ วันนี้เจ้าหน้าที่สนามบินดอนเมืองตบหน้านักท่องเที่ยวจีน คนจีนถ่ายคลิปไว้แล้วโพสในเมืองจีน แชร์กันไปแล้วเป็นล้านครั้ง กลายเป็นกระแสโกรธแค้นเพราะถูกเหยียดยามและต่อต้านการท่องเที่ยวไทยซ้ำเข้าไปอีกครับ ตามข่าวยังมีอีกว่านอกจากนี้ก็ยังมีอีกว่า เมื่อไปถึงจุด visa on arrival ก็จะมีแบ่งเคาน์เตอร์เป็นแบบธรรมดา กับ fast track โดย fast track ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ช่องธรรมดาไม่มีเจ้าหน้าที่นั่ง ทุกคนเลยต้องเข้าช่อง fast track ทั้งหมดอีกด้วยครับ" |
ศาสตราจารย์ ดร. นพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา Foreign Expert ของรัฐบาลจีนได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
หากใครได้ดูคลิปที่เผยแพร่กันเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจีนถูกตบหน้าที่สนามบินดอนเมือง เมื่อฟังภาษาจีนในคลิปก็จะเข้าใจได้ว่า นักท่องเที่ยวจีนถูกรีดไถโดยตม. เมื่อไม่ให้ก็ถูกกลั่นแกล้งไม่ให้เข้าประเทศ และหลังจากเขาโวยวายก็ยังถูกตบหน้าตามที่ปรากฏ เรื่องนี้กำลังถูกเผยแพร่ไปทั่วในจีน คนจีนรับไม่ได้ที่ถูกรีดไถแล้วยังถูกตบหน้า คาดว่าจะกระทบกระเทือนการท่องเที่ยวไทยอีกระลอก ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้นน่าจะต้องมีการตรวจสอบ เพราะปรากฎชัดเจนในคลิป ไม่ใช่เพียงแค่แถลงขอโทษ และโบ้ยใบ้ไปว่าเพราะนักท่องเที่ยวจีนมีเอกสารไม่ครบ และรปภ. ทำเกินกว่าเหตุ โดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการถูกรีดไถโดยตม. แต่อย่างใด เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยถึงกับเคยพูดตรง ๆ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2555 ว่า การรีดไถนักท่องเที่ยวจีนโดยตม. นั้นเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของการท่องเที่ยวไทย ผ่านมาแล้ว 6 ปีกับ 2 รัฐบาล ทุกอย่างก็อาจจะยังคงเหมือนเดิม |
เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก คนจีนนั้นเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก และคงทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างน่าใจหายอีกรอบ
ผมกับลูกศิษย์ได้ทำงานวิจัยเพื่อวิเคราะห์แบ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนตามพฤติกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย อ่านต้นฉบับเต็มได้จาก >> https://tci-thaijo.org/index.php/jitt/article/view/112048/87346
และอ่านฉบับย่อได้จาก จีนแล้วไปไหน? 11 วิธีเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนในแดนสยาม >> https://thematter.co/quick-bite/where-chinese-tourist-go-in-thailand/50991
ซึ่งได้ใช้ข้อมูลจากโครงการสำรวจข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงลึกปี 2556-2558 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งสำรวจข้อมูลพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยในแต่ละปี บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองจำนวน 14 ด่านทั่วประเทศ ทั้งด่านทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ โดยในที่นี้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักท่องเที่ยวจีนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไปที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยปี พ.ศ.2556 – 2558 เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ทำธุรกิจ มาเยี่ยมญาติ/เพื่อน หรืออื่นๆ โดยคัดคนที่เข้ามาเพื่อรับจ้างทำงานทั้งอย่างถาวรหรือชั่วคราวในประเทศไทยออกจากการวิเคราะห์ ทั้งนี้จะต้องมีการพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 1 คืน และกำลังจะเดินทางกลับประเทศหรือเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นๆ ใช้จำนวนหน่วยตัวอย่างรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,900 ราย แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเอง (FIT) จำนวน 1,108 ราย และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยว (group tour) จำนวน 792 ราย
อย่างไรก็ตามการสำรวจนี้ไม่ได้รวมนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาทางเรือ (ซึ่งไม่มากนัก) และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทางรถเข้ามาจากทางจีนตอนใต้ผ่านเข้ามาภาคเหนือของไทยหรือผ่านลาวเข้ามาทางภาคอีสาน (ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควร)
เราจัดกลุ่มนักท่องเที่ยวตามพฤติกรรมการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทาง
สำหรับกลุ่ม Group tour สามารถแบ่งนักท่องเที่ยวจีนได้เป็นห้ากลุ่มคือ หนึ่ง กลุ่มกรุงเทพ-ชลบุรี สอง กลุ่มเที่ยวหลากหลายชลบุรี สาม กลุ่มกรุงเทพ-เชียงใหม่ สี่ กลุ่มทะเล-อาหารภูเก็ต ห้า กลุ่มภูเก็ต-ดำน้ำกระบี่
สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (FIT) tour สามารถแบ่งนักท่องเที่ยวจีนได้เป็นหกกลุ่มคือ หนึ่ง กลุ่มวิถีชีวิตและแสงสียามค่ำคืนเมืองกรุง สอง กลุ่ม ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ – ผจญภัยภูเก็ต สาม กลุ่มกระบี่-ภูเก็ต สี่ กลุ่มนิเวศในเมืองหลวง-แสงสีชลบุรี ห้า กลุ่มทะเลภูเก็ต – ชลบุรี และ หก กลุ่มเชียงใหม่
การสำรวจของ ททท. ได้มีการสอบถามเรื่องระยะเวลาพัก (Length of stay) และค่าใช้จ่ายที่ใช้ในแต่ละวัน (Daily spending) ของนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามรายได้การท่องเที่ยวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประกอบไปด้วย 7 หมวดรายได้ ประกอบด้วย การซื้อสินค้า ความบันเทิง ท่องเที่ยวในพื้นที่ ที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม ค่าเดินทางในพื้นที่ และอื่น ๆ แต่ในการสำรวจนี้สำรวจเพียงค่าซื้อสินค้าและค่าการทำกิจกรรมท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่เท่านั้น
ทั้งนี้สถิติข้อมูลนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศระหว่างปี 2559 ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวนนักท่องเที่ยวจำแนกตามถิ่นที่อยู่ (Country of resident) ของนักท่องเที่ยวจีนมีทั้งสิ้น 8,779,196 คน จำแนกเป็น นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวกับบริษัทนำเที่ยว (group tour) 3,436,743 คน และ นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (FIT) 5,342,453 คน ซึ่งผลสามารถวิเคราะห์ข้อมูลรายได้จากการท่องเที่ยวจากการซื้อสินค้าและการทำกิจกรรมท่องเที่ยวต่อทริป (หน่วย: ล้านบาท) จำแนกตามลักษณะการเดินทางได้ มีรายละเอียดดังนี้
ซึ่งคิดเป็นรายได้เข้าประเทศ เฉพาะค่าทำกิจกรรมและค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าปีละประมาณ 178,488.60 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมรายได้อื่นจากนักท่องเที่ยวจีนอันได้แก่ ที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม และ ค่าเดินทางในพื้นที่) ซึ่งกระจายไปตามภูมิภาคต่างของไทย หากนักท่องเที่ยวลดลงไปครึ่งหนึ่ง รายได้ในส่วนของค่าทำกิจกรรมและค่าซื้อสินค้าจากนักท่องเที่ยวจีน จะหายไปราวเกือบเก้าหมื่นล้านบาทต่อปี
เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องเร่งแก้ไข รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนนั้นหากรวมทุกหมวดน่าจะเกินกว่าสามแสนถึงสี่แสนล้านบาทต่อปี มีผลกระทบต่อผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) ของไทยอย่างรุนแรงอย่างแน่นอน
ถึงเวลาปฏิรูประบบราชการไทยแล้วหรือยัง ถึงเวลาปฏิรูปตำรวจแล้วหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เละเป็นโจ๊กกันต่อไปเช่นนี้อีกหรือ?