xs
xsm
sm
md
lg

ปูติน...ผู้นำที่ “ไม่ธรรมดา”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย</b>
ไหนๆ ก็ว่าเรื่องฉากสถานการณ์ในซีเรีย ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มาแล้ว ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เลยคงหนีไม่พ้นต้องไปสำรวจ ตรวจสอบ ความคืบหน้าของกรณีเครื่องบินลาดตระเวน “Ilyushin” หรือ “Il-20” ของรัสเซีย ถูกสอยร่วงจากฟากฟ้า ขณะกลับจากการลาดตระเวนทางทะเล มุ่งไปยังฐานทัพอากาศ “Hmeymim” ในลาตาเกีย ประเทศซีเรีย จนทำให้ทหารรัสเซีย 14 นายที่อยู่บนเครื่องตายเรียบ อันอาจส่งผลให้ “อุบัติเหตุทางทหาร” คราวนี้ กลายเป็น “ไม้ขีด” ที่ถูกโยนเข้าไปในเชื้อฟืนแห้งๆ ซึ่งราดน้ำมันเอาไว้แล้วเป็นอย่างดี หรือกลายเป็นตัว “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาหรือไม่ อย่างไร???

และมาถึง ณ ขณะนี้...คงต้องสรุปว่า ผู้นำรัสเซียอย่างท่านประธานาธิบดี “วลาดิเมียร์ ปูติน” นั้น ท่าน “ไม่ธรรมดา” เอาเลยจริงๆ คือถ้าหากเป็นผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำฝรั่งเศสอย่าง “มาครง คนหนุ่ม” หรือผู้นำอังกฤษอย่าง “เมย์ มนุษย์ป้า” แล้วล่ะก็...ป่านนี้ คงได้เปิดฉากยิงกันชนิดฉิบหายวายวอดไปนานแล้ว เหมือนอย่างที่แค่ได้ข่าวว่ามีการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ใช้ เป็นรัฐบาลซีเรียใช้หรือผู้ก่อการร้ายใช้เพื่อป้ายความผิดให้กับ “อัล-อัสซาด” กันแน่ แต่ทั้งอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ก็รุมถล่มซีเรีย ยำมือ ยำตีนกันอุตลุด หรือยังไม่ทันได้หลักฐาน ข้อพิสูจน์ ไม่ว่าในกรณีเครื่องบินโดยสารมาเลเซียถูกยิงตกในน่านฟ้ายูเครน กรณีสายลับสองหน้าของรัสเซียในอังกฤษ ถูกใครก็ไม่รู้วางยาพิษ ก็ตัดสินใจ “แซงชั่น” กันชนิดระลอกแล้ว ระลอกเล่า...

แต่สำหรับเครื่องบิน IL-20 ของรัสเซีย...ที่จู่ๆ ก็ถูกสอยร่วงเอาดื้อๆ โดยมี “จำเลย” อย่างเครื่องบินโจมตีของอิสราเอล หรือแม้แต่เรือรบของฝรั่งเศส อยู่ในข่ายที่สามารถจับแพะ ชนแกะ ตั้งข้อกล่าวหา ยื่นฟ้องได้ไม่ยากส์ส์ส์ แต่ “โจทย์” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้ออกมาให้ข้อสรุปด้วยคำพูดที่สุดแสนสะเทือนใจ แต่สะท้อนให้เห็นถึงความมี “สติ” แบบครบถ้วนบริบูรณ์ นั่นก็คือคำพูดที่ว่า... “เมื่อมีคนตาย...โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาวะแวดล้อมแห่งโศกนาฏกรรม (Tragic circumstances) ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอๆ น่าโศกสลดสำหรับเราทั้งมวล สำหรับประเทศทั้งประเทศ และสำหรับครอบครัวญาติมิตรของผู้สูญเสียทั้งหลาย ภายใต้สภาพเช่นนี้...ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจ ต่อผู้คนทั้งมวลที่มีความสัมพันธ์กับผู้ซึ่งถูกเข่นฆ่าลงไป...”

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ผู้นำรัสเซียท่านไม่ได้คิดหันไปกล่าวโทษ ไปโยนความผิดให้กับผู้หนึ่ง-ผู้ใด ตราบใดที่ยังมีหลักฐาน ข้อพิสูจน์แบบแน่นหนา ชัดเจน แต่หันไปโทษ “สภาวะแวดล้อมแห่งโศกนาฏกรรม” กันแทนที่ แม้ว่า “สภาวะแวดล้อมแห่งโศกนาฏกรรม” ที่ว่าจะได้ถูกอธิบายรายละเอียด โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย “Igor Konashenkov” ประมาณว่า...ด้วยเหตุที่เครื่องบินโจมตี F-16 ของอิสราเอล ซึ่งบุกเข้าไปถล่มพื้นที่บางส่วนของฐานทัพอากาศ “Hmeymim” ที่มีทั้งกองทัพรัสเซียและซีเรียใช้พื้นที่ร่วมกัน โดยแจ้งให้ฝ่ายรัสเซียรับทราบก่อนขึ้นปฏิบัติการเพียง 1 นาทีเท่านั้น ตามข้อตกลงความร่วมมือที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างความสูญเสียระหว่างกันและกัน ว่ามีเป้าหมายต้องการเล่นงานพวกเฮซบอลเลาะห์ ที่นำเอาอาวุธร้ายแรงจากซีเรียผ่านเข้าไปยังเลบานอน หรือไม่ได้มุ่งที่จะเล่นงานกองทัพรัสเซียแต่อย่างใด...

แต่ครั้นเมื่อ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ของซีเรีย ที่มีทั้งเจ้าหน้าที่รัสเซียและซีเรีย ร่วมปฏิบัติการด้วยกัน ไม่ว่าในห้องปฏิบัติการป้องกันภัยทางอากาศ หรือในศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศ ได้ตัดสินใจกดปุ่มปล่อยจรวดต่อสู้อากาศยานระบบ “S-200” ที่ผลิตขึ้นมาในรัสเซีย ใส่เครื่องบิน F-16 ของอิสราเอลที่ตกเป็นเป้าหมาย สิ่งที่โฆษกกลาโหมรัสเซียสรุปเอาไว้ก็คือว่า... “เครื่องบินอิสราเอล ได้ใช้วิธีบินหลบอยู่เบื้องหลังเครื่องบินลาดตระเวนของรัสเซีย และนั่นเองที่ทำให้เครื่องบิน IL-20 เลยต้องกลายเป็นเป้าของจรวด S-200 ไปแทนที่...”

แม้ว่าข้อสรุปเช่นนี้...จะสามารถใช้เป็นเหตุลากตัวกองทัพอิสราเอล หรือรัฐบาลอิสราเอลเข้าไปสู่คอก “จำเลย” ได้ไม่ยากส์ส์ส์ โดยเฉพาะเมื่อมีพยานแวดล้อมในอีกหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐบาลอิสราเอล ร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายในจังหวัดอิดลิบ ลักพาตัวพวกเด็กๆ เอาไว้ใช้ “จัดฉาก” สร้างสถานการณ์การใช้อาวุธเคมี เพื่อสร้าง “เงื่อนไข” ให้รัฐบาลอเมริกันอังกฤษ และฝรั่งเศส สามารถกลับไปรุมถล่มประเทศซีเรียได้อย่างสบายมือ สบายตีน อย่างที่เคยถล่มๆ กันมาแล้ว อันจะช่วยปกป้อง คุ้มครอง บรรดาผู้ก่อการร้ายจำนวนเกือบแสนราย ให้พออยู่รอดปลอดภัยในฐานที่มั่นสุดท้าย ณ ประเทศซีเรีย เพื่อรอฉีกประเทศนี้ออกเป็นชิ้นๆ หรือเพื่อช่วยขจัดอำนาจอิทธิพลของศัตรูคู่กัดอย่างอิหร่าน ไม่ให้ขยายตัวมากเกินไปกว่านี้...

แต่ก็นั่นแหละ...การลากกองทัพอิสราเอล รัฐบาลอิสราเอล เข้ามาสู่คอกจำเลย มันคงหนีไม่พ้นต้องลากเอา “พยานฝ่ายจำเลย” อันประกอบไปด้วยกองทัพอเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่ต่างขนอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในแนวรบตะวันออกกลางแบบชนิดเต็มเพียบ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และนั่น...อาจส่งผลให้สมรภูมิซีเรีย กลายเป็น “สมรภูมิอารมาเกดโดน” เอาง่ายๆ ขณะที่รัสเซียและพันธมิตรอย่างอิหร่าน ตุรกี ต่างกำลังพยายามหาทางสถาปนา “กระบวนการสันติภาพ” ให้สามารถลงรากปักฐานขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ให้จงได้ โดยเฉพาะหลังจากสามารถขจัดกวาดล้างฐานที่มั่นสุดท้าย ของกองกำลังติดอาวุธฝ่ายกบฏและผู้ก่อการร้ายในจังหวัดอิดลิบได้แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้...มีแต่ต้อง “กลืนเลือด” หรืออมเลือดของบรรดาทหารรัสเซียที่พลีชีพไปแล้วในดินแดนแห่งนี้ ไม่น้อยไปกว่า 108 นาย นับจากช่วงระยะ 3 ปีที่กองทัพรัสเซียได้ตัดสินใจเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองในซีเรีย...

การไม่คิดจะกล่าวโทษ เล่นงานใครต่อใครแบบสะเปะสะปะ แต่หันมาใช้ “สติ” ใคร่ครวญ พิจารณา ถึงผลได้-ผลเสีย อย่างละเอียดรอบคอบเช่นนี้ จึงต้องถือว่า “ไม่ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ สำหรับผู้นำรัสเซียรายนี้ อย่างน้อย...ก็พอทำให้ “อุบัติเหตุทางทหาร” คราวนี้ ไม่ถึงกับลุกลามบานปลาย จนกลายเป็นการ “เข้าทางตีน” ของฝ่ายตรงข้าม ที่เตรียมเงื้อ เตรียมง้างมาแต่ไกล หรือไม่กลายเป็นอุปสรรคต่องานใหญ่ งานช้าง นั่นก็คือ...การขจัดฐานที่มั่นสุดท้ายของผู้ก่อการร้ายที่จังหวัดอิดลิบ เพื่อเริ่มต้นเดินหน้ากระบวนสันติภาพให้เป็นจริง เป็นจังขึ้นมาให้จงได้ แบบเดียวกับการ “ต้มกบ” ให้สุกพอที่จะเอามาแจกจ่ายรับประทานได้นั่นแหละ ที่ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น ในการควบคุมอุณหภูมิในหม้อต้มไม่ให้มันร้อนจนเกินไป หรือจน “กบรู้ตัว” หันมากระโดดออกจากหม้อต้ม หรือหันไปใช้ “ความได้เปรียบทางทหาร” เปิดฉาก “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาซะก่อน...


กำลังโหลดความคิดเห็น