xs
xsm
sm
md
lg

อุบัติเหตุทางทหาร!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

เครื่องบินลาดตระเวน IL-20 ของกองทัพรัสเซีย
วันนี้...คงต้องขออนุญาตไป “อัพเดต” ฉากสถานการณ์ในจังหวัดอิดลิบ ประเทศซีเรีย เพิ่มเติมอีกสักหน่อย เพราะมันชักมีอะไรที่ชุลมุน ชุลเก มีอะไรที่ “นอกเหนือการควบคุม” ทั้งที่บรรดาผู้ซึ่งกำลังคิดจะใช้กำลังทหารใน “ปฏิบัติการปลดปล่อยอิดลิบ” ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย-ตุรกี-อิหร่าน ต่างแสดงออกถึงความพยายามที่จะใช้ความประณีต พิถีพิถัน ความละเอียดรอบคอบอย่างถึงที่สุด เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้ กลายเป็น “พื้นที่สันติภาพ” ปลอดไปจากบรรดาผู้ก่อการร้าย จำนวน 7 หมื่น 8 หมื่นคน ที่ถอยไปรวมตัวกันจนกลายเป็น “ฐานที่มั่นแหล่งสุดท้าย” ของกองกำลังอาวุธฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย...

คือนอกจากการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ท่านเรียกว่า “ระเบียงทางมนุษยธรรม” (Humanitarian Corridors) เพื่อใช้เป็นช่องทางในการช่วยเหลือ เยียวยา และปกป้อง คุ้มครอง บรรดาพลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ว่าผู้ที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลซีเรีย ซึ่งอาศัยพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งหลบภัยจาก “สงครามกลางเมือง” ตลอดช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จนมีจำนวนปาเข้าไปถึง 2.5-3 ล้านคนไปแล้วในทุกวันนี้ ในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้นำของประเทศที่มีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการเปิดปฏิบัติการทางทหารในจังหวัดอิดลิบ คือรัสเซียและตุรกี ถึงกับต้องเปิดประชุม พบปะหารือกันที่เมืองโซชิ (Sochi) ประเทศรัสเซีย เพื่อหาทาง “ลดความสูญเสียให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้” ดังที่หนึ่งในประเทศที่มีส่วนร่วม คือรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านได้เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้...

และถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” ของหนังสือพิมพ์ “Al-Watan” ของซีเรีย ที่อ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่การทูตระดับสูงของรัสเซีย ปฏิบัติการทางทหารต่อจังหวัดอิดลิบคราวนี้ ต้องเรียกว่าสุดแสนจะนิ่มนวลปานประดุจพรมตุรกี หรือพรมเปอร์เซีย เอาเลยก็ว่าได้ คือไม่ได้สุ่มสี่ สุ่มห้า คิดจะอาศัยความได้เปรียบ หรือความเหนือกว่าทางการทหาร บดขยี้พวกกบฏและผู้ก่อการร้ายที่ตกอยู่ในสภาพ “ลูกไก่ในกำมือ” ให้แบนแต๊ดแต๋ภายในชั่วพริบตาให้จงได้ แต่ยังพยายามเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้โอกาส ให้เวลา แก่บรรดาลูกไก่ทั้งหลาย ไม่ต้องหันมา “ขี้รดใส่มือ” แบบชนิดนุ่มนวลอย่างถึงที่สุด ไล่มาตั้งแต่ขั้นแรก เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ที่จะเริ่มสร้าง เริ่มกำหนด “เขตปลอดอาวุธ” ขึ้นมาในพื้นที่จังหวัดอิดลิบ ตลอดแนวยุทธศาสตร์ที่มีความกว้างประมาณ 15 กิโลเมตร โดยให้ทหารรัสเซียและตุรกีร่วมตรวจสอบ ลาดตระเวนในพื้นที่ดังกล่าวร่วมกัน เพื่อให้กองกำลังใดๆก็ตาม มีโอกาสถอนตัวไปจากพื้นที่เหล่านี้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนตลอดเดือนตุลาคม หลังจากนั้นถึงจะเริ่มขั้นตอนที่สอง คือการรวบรวมอาวุธร้ายแรงที่บรรดาผู้ก่อการร้าย หรือกองกำลังใดๆ ก็ตาม ยังคิดเอามาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้าน เพื่อยื้อยุดฉุดดึงไม่ให้กระบวนการสันติภาพมีโอกาสอุบัติขึ้นมาได้ โดยอาศัย “ประชาชน” เป็นตัวประกัน หรือเป็นขั้นตอนที่จะแยก “พลเรือน” ออกจาก “ทหาร” ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งภายในช่วงวันที่ 10 พฤศจิกายน จากนั้น...ก็คงเลยไปถึงปลายปีโน่นแหละ ถึงจะเริ่มบีบ “ลูกไก่หัวดื้อ” หรือเริ่มปฏิบัติการทางทหารแบบเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์ โดยไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลัง ถึง “ความสูญเสีย” ต่อชีวิตของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย...

แต่ถึงจะประณีต พิถีพิถัน นุ่มนวลกันอย่างถึงที่สุดแล้ว...สิ่งที่ “อยู่นอกเหนือการควบคุม” มันก็ยังอุตส่าห์อุบัติให้เห็นเป็น “สัญญาณ” ขึ้นมาจนได้ นั่นก็คือ...ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารใดๆ เลย แต่จู่ๆ...เครื่องบินลาดตระเวน IL-20 ของรัสเซีย ที่บรรทุกทหารรัสเซียจำนวน 14 นาย ก็ดันถูกจรวดยิงตก ขณะกำลังบินอ้อมมายังฐานทัพรัสเซียที่ Latakia ในประเทศซีเรีย เมื่อช่วงวันจันทร์ (17 กันยาฯ) ที่ผ่านมานี่เอง หรือกลายเป็น “อุบัติเหตุทางทหาร” ที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้า ระหว่างกองกำลังทหารของฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลซีเรีย กับฝ่ายที่สนับสนุนพวกผู้ก่อการร้าย หรือระหว่าง 2 อภิมหาอำนาจอย่างอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก กับกองทัพรัสเซีย อิหร่าน และตุรกี ได้ทุกเมื่อ...

“อุบัติเหตุทางทหาร” เช่นนี้...ว่าไปแล้ว ก็แทบไม่ต่างไปจากฉากเหตุการณ์กรณีการจมเรือโดยสาร “ลูซิเทเนีย” (Lusitania) เมื่อปี ค.ศ. 1951 โน่นเลย ที่ทำให้เกิดเหตุผล ข้ออ้างของประเทศอเมริกาซึ่งเคยประกาศ “หลักนโยบายแห่งความเป็นกลาง” มาโดยตลอด แต่สุดท้าย...ต้องโจนเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 1” ด้วยประกาศสงครามกับเยอรมนี หรือฉากเหตุการณ์กรณีวินาศกรรมตึก “เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์” (World Trade Center) ปี ค.ศ. 2001 ที่ถูกหยิบมาเอาใช้เป็นเหตุผล ข้ออ้าง ของอภิมหาอำนาจทางทหารอย่างอเมริกา ในการเปิดฉาก “สงครามกับการก่อการร้าย” กับประเทศเล็กๆ อย่างอัฟกานิสถาน อิรัก และใครต่อใครอีกชนิดแทบจะทั่วโลก หรือแม้แต่กรณีการยิงเครื่องบินโดยสาร “MH-17” ของมาเลเซีย ในน่านฟ้ายูเครนเมื่อปี ค.ศ. 2014 อันนำไปสู่การเปิดฉาก “แซงชั่นรัสเซีย” ของอเมริกาและพันธมิตรยุโรป มาจนตราบเท่าทุกวันนี้นั่นเอง...

คือมันเป็นอุบัติเหตุทางทหารที่เป็นไปในลักษณะ “จับมือใครดมแทบไม่ได้” กว่าจะรู้เบื้องหน้า-เบื้องหลังที่แท้จริง ต่างฝ่ายต่างก็ฉิบหายวายวอดไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น หรือแม้แต่จนบัดนี้ก็ยังคงเป็นอะไรที่คลุมๆ เครือๆ ยากที่จะหาหลักฐาน ข้อพิสูจน์กันได้แบบชัดๆ จะจะ แต่ทุกๆ กรณีที่ว่านี้นี่แหละ...ต่างก็มี “ตัวละคร” ตัวหนึ่ง นั่นก็คือประเทศ “อิสราเอล” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือพัวพันอยู่กับ “ทฤษฎีสมคบคิด” ในแต่ละรูป แต่ละแบบไปด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ครั้งนี้...ถ้าหากไม่มีเครื่องบินโจมตี F-16 ของอิสราเอลที่เข้ามาป้วนเปี้ยนในดินแดนซีเรีย จนอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดต่อ “ระบบต่อต้านขีปนาวุธ” ของกองทัพซีเรียขึ้นมาได้แล้ว เครื่องบินลำเลียง IL-20 และทหารรัสเซีย 14 นาย ก็คงไม่ต้องเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง เอาง่ายๆ...

ดังนั้น...ระหว่างที่ “จับมือใครดมแทบไม่ได้” ผู้นำรัสเซีย ไม่ว่าตั้งแต่ตัวประธานาธิบดี ตลอดจนไปถึงรัฐมนตรีกลาโหม เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปค้นหา “คำตอบ” จากรัฐบาลอิสราเอลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญแห่งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซีย “นายGevorg Mirzayan” ได้สรุปเอาไว้เป็น “คำถาม” นั่นแหละว่า... “ในเรื่องนี้ ถ้าหากอิสราเอลยังนิ่งเฉย ไม่แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อการกระทำเหล่านี้ หรือหันไปโทษกองทัพซีเรียกันแทนที่...ผลที่ตามมาก็คือ หลุมศพของอิสราเอลนั่นเอง” แต่ก็ด้วยความพยายามคาดคั้นหาคำตอบในลักษณะเช่นนี้นี่เอง ที่อาจส่งผลให้เรือบรรทุกเครื่องบิน “USS Harry S. Truman” ของอเมริกา ที่บรรทุกลูกเรือจำนวนถึง 6,500 คน จึงได้รับคำสั่งให้เคลื่อนออกจากฐานทัพ Norfolk ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เข้ามาสมทบกับเรือรบ เรือพิฆาต เรือดำน้ำ ฯลฯ ที่แล่นไป-แล่นมาอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชนิดแทบจะชนกับเรือรบ เรือดำน้ำรัสเซีย ฯลฯ ที่กระจายกำลังเพื่อเสริมปฏิบัติการปลดปล่อยอิดลิบในอีกไม่นาน-ไม่ช้า อันนี้นี่แหละ...ที่ออกจะน่าหวาดเสียวเอามากๆ อันเนื่องมาจาก...มันได้เกิด “สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม” ไม่ว่าจะพยายามใช้ความประณีต พิถีพิถัน ละเอียดรอบคอบในทางทหารเพียงใดก็ตามที...


กำลังโหลดความคิดเห็น