จากสงครามการค้า...วันนี้สงสัยคงต้องมาว่าถึงเรื่อง “สงครามเลือด” กันต่อ เพราะช่วงระหว่างนี้ โดยสีสันบรรยากาศ ต้องเรียกว่า...“กลิ่นเลือด” มันชักเริ่มฉุนกึก เริ่มโชยมาเป็นระยะๆ แค่เฉพาะข่าวเรื่อง“การซ้อมรบครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” ของรัสเซีย จากเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของเรานี่แหละ เมื่อช่วงวันวานที่ผ่านมา ที่เรียกขานกันในนาม“วอสต็อก-2018” (Vostok-2018) แค่นี้...อาจต้องปิดจมูก กลั้นหายใจ กันไปตามสมควร...
คือระดับขนทหารกันมาเป็นแสนๆ จะเป็นทหารรัสเซีย ทหารจีน ทหารมองโกเลีย ก็แล้วแต่ แต่รวมๆ แล้วน่าจะตกประมาณ 300,000 คนขึ้นไป แถมยังขนเอาอาวุธประเภทร้ายๆ ประเภทใหม่ถอดด้าม ไม่ว่าจรวดความเร็วเหนือเสียง จะเป็น “Iskander” หรือ “Kinzhal” ก็ยังไม่ทราบชัด แต่น่าจะเป็นประเภทความเร็วระดับ “Hypersonic” ทั้งหลาย รถถังระดับ T-80, T-90 เครื่องบินรบระดับ Su-34, Su-35 รุ่นใหม่ล่าสุด เฉพาะยานยนต์ทางทหาร ไม่น่าจะต่ำกว่า 36,000 คัน เรือรบไม่ต่ำกว่า 80 ลำ เรียกว่า...ใหญ่โตมโหระทึก ยิ่งกว่ายุค “สงครามเย็น” หรือยุครัสเซียยังเป็น “สหภาพโซเวียต” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
และถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางทหาร ไม่ว่าซีกตะวันตก หรือตะวันออก ดูจะเห็นพ้องต้องกันว่า มันคงไม่ใช่แค่รายการ “โชว์กล้าม” หรือการอวดโชว์แสนยานุภาพ การส่งเสียงขู่คำรามของหมีขาวไปเรื่อยๆ แต่เพียงเท่านั้นแต่น่าจะเกี่ยวพันกับเงื่อนไข เหตุปัจจัยบางอย่าง บางประการ ที่ทำให้ฝ่ายทหาร ฝ่ายความมั่นคงของรัสเซีย เขาเกิดความคิด ความรู้สึกว่า ต้องหาทาง “เตรียมพร้อม” เอาไว้สำหรับการรับมือกับ “สงครามระดับโลก” ซึ่งอาจอุบัติขึ้นมาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรืออาจไม่เกินปี ค.ศ. 2020 อะไรทำนองนั้น...
แต่ไม่ใช่แค่การซ้อมรบในพื้นที่แถบตะวันออกของรัสเซีย หรือแถวๆ มองโกเลียเท่านั้น แม้แต่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การซ้อมรบของรัสเซีย อิหร่าน ซีเรีย ในช่วงระยะใกล้ๆ กัน เพื่อรองรับ “ปฏิบัติการปลดปล่อยจังหวัดอิดลิบ” ก็น่าจะขนลุก ขนพอง ไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะถ้านับจำนวนเรือรบ เรือลาดตระเวน เรือดำน้ำ เรือปราบเรือดำน้ำ ฯลฯ จำนวนไม่ต่ำกว่า 25 ลำ ฝูงบินขับไล่โจมตี ทิ้งระเบิดอีกไม่ต่ำกว่า 34 ลำ จนถือเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดของรัสเซียในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน งานนี้มันก็เลยออกไปทาง “งานช้าง” แม้แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” เนื่องจากเป้าหมายอย่างจังหวัดอิดลิบนั้น ก็แค่พื้นที่ไม่กี่พันตารางกิโลเมตร แถมยังไม่ได้มีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ ระดับชี้เป็น-ชี้ตายอะไรมากมาย...
แต่ทำไมรัสเซียเขาถึงได้เอาจริง-เอาจัง หรือ “เอาเรื่อง” ไปได้ถึงปานนั้น...อันนี้ ดูเหมือนผู้ที่ให้คำตอบ คำอธิบาย ได้ค่อนข้างชัดเจน และน่าคิด น่าสนใจ มิใช่น้อย กลับเป็นบรรดาอดีตนักข่าวกรองมืออาชีพชาวอเมริกัน ที่ได้รวมตัว รวมกลุ่มกันในนาม “Veteran Intelligence Professionals for Sanity” และได้ลงทุนเขียน “จดหมายเปิดผนึก” ถึงประธานาธิบดีอเมริกัน หรือถึง “ทรัมป์บ้า” เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมานี่เอง โดยมีสำนักข่าว “Mint Press News” เอามาเผยแพร่ต่อในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยไล่เรียงรายชื่อของบรรดาอดีตนักข่าวกรองเหล่านี้ ให้เห็นกันไปเป็นคนคน ซึ่งแต่ละคน แต่ละรายนั้น ต้องเรียกว่า “ไม่ธรรมดา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ไม่ว่า “Philip Giraldi” อดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการซีไอเอ “James George Jatras” อดีตเจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯ และอดีตที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศของผู้นำวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ร้อยเอก “Michael S. Kearns” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองกองทัพอากาศสหรัฐฯ และอดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนหน่วย SERE “John Kiriakou” อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของซีไอเอ และอดีตเจ้าหน้าที่สืบสวนอาวุโส คณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วุฒิสภา “Edward Loomis” อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยถอดรหัสลับของ NSA “Ray McGovern” อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองกองทัพบก และผู้บรรยายสรุปให้กับประธานาธิบดีของหน่วยงานซีไอเอ “Elizabeth Murray” รองหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแผนกตะวันออกใกล้ ของสภาข่าวกรองแห่งชาติ ไปจนถึง “Todd E.Pierce” และ “Ann Wright” ที่เป็นมือกฎหมายและเจ้าหน้าที่ทูต ของกองทัพบกตามลำดับ ฯลฯ...
ใครสนใจว่า “จดหมายเปิดผนึก” ที่ว่านี้ มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง คงต้องตามไปดูกันเอาเอง แต่โดยสรุปคร่าวๆ ก็คงประมาณว่าบรรดากลุ่มอดีตนักข่าวกรองเหล่านี้ ชักเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า...การโหลดกำลังรบของรัสเซีย เพื่อรองรับปฏิบัติการปลดปล่อยจังหวัดอิดลิบเที่ยวนี้ ออกจะ “เอาเรื่อง” เอาจริง-เอาจัง อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน และนั่นเองที่ทำให้เขาเกิดการตั้งข้อสังเกต ตั้งสมมติฐาน หรือทฤษฎี ก็แล้วแต่จะเรียก จะโดยอาศัยสัญชาตญาณการข่าว หรือจะโดยได้รับข่าวกรองมาในแบบไหน อย่างไรก็แล้วแต่ ว่าอากัปกิริยาของรัสเซียในทำนองนี้นั้น สะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่แน่ใจ” ว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว...ใครกันแน่??? ที่เป็นผู้มีอำนาจสั่งการให้ทหารอเมริกัน ทำอะไรต่อมิอะไรในพื้นที่ประเทศซีเรีย นับจากนี้...
ข้อความบางประโยคใน “จดหมายเปิดผนึก” ของกลุ่มอดีตนักข่าวกรองเหล่านี้ ที่น่าสนใจเอามากๆ ก็เช่นว่า... “เราหวังว่า John Bolton (ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว) จะได้เล่ารายละเอียดที่ควรค่าแก่การระมัดระวัง ในระหว่างที่เขากำลังโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนกับตัวแทนฝ่ายรัสเซียในเจนีวา เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในทัศนะของเราแล้ว...เห็นว่า มันเป็นเรื่องที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากกว่า ถ้าหากเราสามารถทำให้เครมลิน ไม่ต้องเกิดความไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่คุณ Bolton พูดออกมานั้น เป็นการพูดในนามของคุณ (ประธานาธิบดี) หรือเป็นการพูดแทนตัวคุณกันแน่...” หรือพูดง่ายๆ ว่า...กลุ่มอดีตนักข่าวกรองเหล่านี้ ชักไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ที่ปรึกษาประธานาธิบดีอย่าง “John Bolton” ผู้ถูกครหาว่า “รักชาติอิสราเอล” ยิ่งกว่า “ชาติอเมริกา” ซะด้วยซ้ำ...กำลัง “ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ “ทำในสิ่งที่ประธานาธิบดีต้องการ” หรือไม่ อย่างไร???
ด้วยเหตุนี้...ข้อเรียกร้อง ข้อเสนอ ในจดหมายเปิดผนึกของกลุ่มอดีตนักข่าวกรองเหล่านี้ จึงออกไปในแนวที่ว่า... “ถ้าคุณ(ทรัมป์)ไม่ต้องการให้สงครามบานปลาย ขยายตัว ยิ่งไปกว่านี้ อันเป็นสิ่งที่ที่ปรึกษาประธานาธิบดี Bolton ต้องการอยู่แล้วที่จะชักจูงให้คุณไปในทางนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ...คุณต้องทำให้ปูตินมั่นใจว่า คุณจริงๆ นั่นแหละ...ที่เป็นผู้ควบคุมนโยบายของอเมริกาในซีเรียจะด้วยวิธีหาโอกาสแสดงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกมาเป็นคำพูดต่อสาธารณชน หาทางสร้างข้อตกลงระหว่างประธานาธิบดีทั้งสอง เพื่อให้หมดสิ้นข้อสงสัยไปซะที ว่าใครกันแน่คือผู้คุมนโยบาย หรือผู้สั่งการที่แท้จริง...” นี่...ต้องเรียกว่า เอาไป-เอามาแล้ว กลิ่นเลือดที่กำลังโชยมา อาจไม่ใช่เป็นเพราะความบ้าแบบ “ทรัมป์บ้า” ที่เลอะๆ เทอะๆ ไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น เพราะที่น่าขนลุก ขนพอง ยิ่งกว่า ก็คือ...ความบ้าของ “คนรอบข้าง” ประธานาธิบดี ที่ออกไปทาง “บ้าสงคราม” มาโดยตลอดนั่นเอง...