วิกฤตเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ทำให้เกิดคำถามว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเผชิญกับความล่มสลายเช่นเดียวกันหรือไม่ เพราะดำเนินนโยบายประชารัฐหรือประชานิยมเหมือนๆ กัน
เวเนซุเอลาประเทศทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ กำลังเกิดความระส่ำระสาย ประชาชนนับล้านคนกำลังหนีตายจากความแร้นแค้น ยากเข็ญ อดอยาก และความขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีพ หลังระบบเศรษฐกิจต้องพังพินาศ เงินเฟ้อในปีนี้พุ่งไปแล้วกว่า 80,000 เปอร์เซ็นต์
และคาดว่า ปีนี้เงินเฟ้ออาจพุ่งขึ้นถึง 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะกลายเป็นสถิติเงินเฟ้อสูงสุดใหม่ของโลก แต่คงไม่มีประเทศใดอยากให้เกิดขึ้นกับประเทศตัวเอง
ถ้าเงินเฟ้อพุ่งขึ้น 1 ล้านเปอร์เซ็นต์จริง หมายถึงเงินสกุลโบลิวาร์ของเวเนซุเอลา จะมีค่าเพียงเศษกระดาษ ใครที่มีเงิน 1 ล้านโบลิวาร์ จะด้อยค่าเหลือเพียง 1 โบลิวาร์
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ถ้าประเทศไทยเกิดเงินเฟ้อ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ เศรษฐีที่มีเงินระดับ 100 ล้านบาท เงินจะด้อยค่าเหลือเพียง 100 บาทเท่านั้น
เวเนซุเอลาเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวย เพราะมีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก โดยมูลค่าการส่งออกของประเทศ สัดส่วน 90 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าทั้งหมดเกิดจากการส่งออกน้ำมัน
ในช่วงที่ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น เวเนซุเอลารุ่งเรืองสุดขีด รัฐบาลอัดนโยบายประชานิยมสุดโต่ง เพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง
แต่เมื่อราคาน้ำมันดิ่งลง วิกฤตเศรษฐกิจจึงปะทุขึ้นทันที รัฐบาลมีปัญหาด้านฐานะทางการเงิน เพราะรายได้จากการส่งออกน้ำมันตกต่ำ ขณะที่ประชาชนต้องเผชิญกับภาวะค่าครองชีพ เพราะสินค้าราคาแพง จนรัฐบาลต้องปั๊มธนบัตรอัดใส่เข้าระบบ และเป็นตัวกระตุ้นให้ภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
อัตราเงินเฟ้อที่รุนแรงของเวเนซุเอลาเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเงินเฟ้อในระดับที่เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แทบจะเป็นสถานการณ์ปกติ เพียงแต่ปีนี้เท่านั้นที่ไม่ปกติ เพราะเงินเฟ้อพุ่งไปแล้วเกือบ 100,000 เปอร์เซ็นต์
ราคาสินค้าแพงหูฉี่ กระดาษชำระม้วนละกว่า 400 บาท ไก่กิโลกรัมละกว่า 1,000 บาท สาธารณูปโภคขาดแคลน ประชาชนจำนวนประมาณ 34 ล้านคน ต้องกระเสือกกระสนในการดำรงชีพ จนต้องหนีความอดอยากออกนอกประเทศ
ยังมองไม่เห็นว่า รัฐบาลจะกอบกู้มหาวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างไร และคาดหมายไม่ได้ว่า ประชาชนชาวเวเนซุเอลาจะอยู่กันอย่างไร เมื่อประเทศก้าวเข้าสุดจุดเลวร้ายที่สุด
สำหรับประเทศไทยดำเนินนโยบายไม่แตกต่างจากเวเนซุเอลาเท่าไหร่นัก โดยใช้นโยบายประชารัฐทุ่มเงินแจกประชาชน เพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองเหมือนกัน แม้จะไม่มีเงินจากการขายน้ำมันก็ตาม แต่ใช้วิธีการกู้เงินแทน
4 ปีที่ผ่านมา กู้เงินมาหว่านในโครงการประชารัฐมหาศาล จนหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นไป 6.49 ล้านล้านบาท เมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม 2561
เพียงแต่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ยังอยู่ในระดับ 40.78 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ 60 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
แต่ถ้ายังดำเนินนโยบายประชารัฐอย่างสุดโต่ง ทุ่มเงินหว่านเพื่อสร้างคะแนนนิยมโดยไม่หยุดยั้ง ก่อหนี้เพิ่มขึ้นต่อไป ยอดหนี้สาธารณะมีโอกาสที่จะเข้าไปหาจุดเสี่ยงได้
การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจเวเนซุเอลา ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายประชานิยมเพียงวันเดียว แต่เป็นประชานิยมที่ไม่มีความพอเพียง จนประชาชนเสพติดและเลิกไม่ได้ ต้องทุ่มเงินซื้อคะแนนนิยมทางการเมืองไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งที่ฐานะทางการเงินของประเทศอ่อนแอ
ประเทศไทยมีโอกาสเดินตามรอยเวเนซุเอลาหรือไม่ เป็นโจทย์ที่ผู้คนกำลังถามไถ่ และไม่ควรประมาทกับวิกฤตของเวเนซุเอลา
เพราะถ้าก้มหน้าก้มตากู้หนี้มาถมใส่โครงการประชารัฐ ประเทศมีสิทธิล่มสลายเช่นเดียวกับเวเนซุเอลา และถึงเวลานั้น รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
แต่ลูกหลานอาจต้องรับกรรมแทน
ดูบทเรียนจากเวเนซุเอลาไว้ ช่วยกันใส่ใจ ช่วยกันเฝ้าจับตาสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจให้ดี อย่าหลงระเริงว่า ประเทศฐานะแข็งแกร่งกว่า
เพราะหนี้สาธารณะพุ่งขึ้นระดับ 6.49 ล้านล้านบาทแล้ว แต่การก่อหนี้ยังดำเนินต่อไป ส่วนโครงการประชารัฐหรือประชานิยม ยังเป็นนโยบายที่เลิกไม่ได้
จะไม่กังวลว่า ประเทศจะไม่เกิดอภิมหาวิกฤตได้หรือ ในเมื่อวันนี้ประชาชนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าจากผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่น้อยหน้าชาวเวเนซุเอลาเหมือนกัน