xs
xsm
sm
md
lg

จากต้มยำกุ้ง...ถึงต้มยำไก่!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>ประธานาธิบดีเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน แห่งตุรกี</b>
วันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวบไปตรวจสอบสภาพ “ไก่งวงตุรกี” นั่นแหละทั่น ว่าไปๆ-มาๆ จะต้องตกอยู่ในสภาวะ “วิกฤตต้มยำไก่” เหมือนอย่างครั้ง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ของบ้านเราหรือไม่ เพียงใด เพราะด้วยความกลัว ความหวั่นเกรง ว่ามันอาจเป็นไปในแนวนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในระดับแทบจะทั่วทั้งโลก ปักหัวดิ่งแบบแดงทั้งกระดานไปเป็นแถบๆ หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติของ “MSCI World Equity Index” ที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นใน 47 ประเทศทั่วโลก มูลค่าการซื้อ-ขายทั้งหมด ทั้งมวล ร่วงไปแล้วประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ดัชนีหุ้นในยุโรปลดลงไป 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหุ้นธนาคารที่ร่วงถึง 1.2 เปอร์เซ็นต์ ฉุดให้ค่าเงินยูโรร่วงตามไปด้วย ลามไปถึงเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้ เงินเปโซของเม็กซิโก ที่ต่างมีธุรกรรมทางการเงินยึดโยงอยู่กับตุรกีซึ่งค่าเงินลีราร่วงไปแล้วถึง 20 เปอร์เซ็นต์กันเห็นๆ เหลือแต่เงินดอลลาร์ของคุณพ่ออเมริกาเท่านั้น ที่ออกอาการแข็งโด่ๆ เด่ๆ แม้ว่าหุ้นดาวโจนส์จะร่วงลงไปเกือบ 200 จุดก็ตาม...

พูดง่ายๆ ว่า...ด้วยความกลัวว่าค่าเงินลีราของตุรกีที่ดิ่งเอาๆ อันเนื่องมาจากการ “เชือดไก่ (งวง) ให้ลิงดู” ของคุณพ่ออเมริกา ด้วยการแซงชั่นและการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกีคราวนี้ มันอาจกลายเป็น “โรคติดต่อ” ลุกลามไปถึงบรรดาสถาบันการเงินและการธนาคาร โดยเฉพาะในยุโรป ที่ไปประกอบธุรกรรมปล่อยเงินกู้ให้บรรดาบริษัทธุรกิจในตุรกีกู้หนี้ยืมสินอย่างธนาคาร BBVA ของสเปน UniCredit ของอิตาลี หรือ BNP Paribas ของฝรั่งเศส ฯลฯ เป็นต้น เลยทำให้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอเมริกากับตุรกี ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะเจาะจงระหว่าง “ไก่งวง” กับ “อินทรี” แต่เพียงเท่านั้น แต่อาจส่งผลให้บรรดาสิงสาราสัตว์รายอื่นๆ พลอยต้อง “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...

ถ้าจะว่าไปแล้ว...ความขัดแย้งระหว่างคุณพ่ออเมริกากับตุรกีนั้น มันคงไม่ได้มีแต่เฉพาะกรณีที่รัฐบาลตุรกีจับกุมคุมขังบาทหลวงชาวอเมริกัน ที่เรียกขานกันในนาม “Pastor Andrew Brunson” ซึ่งมักถูกหยิบยกมาเป็นข่าวคราวว่าด้วยปมประเด็นความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกเยอะแยะมากมาย ไม่รู้จะกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ไล่มาตั้งแต่ครั้งเกิดการ “รัฐประหารล้มเหลว” ในตุรกีตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 โน่นเลย ที่ประธานาธิบดี “ตายยิบ” (เทย์ยิป) ของคุณน้อง “แชมป์-ช่อง 3” แห่งตุรกี ท่านออกจะไม่พอใจเอามากๆ ที่สหรัฐอเมริกายังคงให้การปกป้อง “นายFethullah Gulen” อดีตผู้นำทางศาสนาในตุรกีผู้เชื่อๆ กันว่าเป็นตัวการในการก่อรัฐประหารขึ้นมาในครั้งนั้น เรื่องที่ตุรกีและอเมริกาเลี่ยงไม่พ้นต้องเผชิญหน้ากัน ในระหว่างการช่วงชิงพื้นที่อิทธิพลบริเวณภาคเหนือของซีเรีย หลังพวกผู้ก่อการร้ายไอเอส ได้หนียะย่าย พ่ายจะแจไปแทบเกลี้ยงเพราะขณะที่กองทัพตุรกีเปิดปฏิบัติการ “Operation Olive Branch” เพื่อเล่นงานพวกกบฏชาวเคิร์ดในซีเรีย บรรดากองกำลังเหล่านี้ก็คือกลุ่มที่สหรัฐฯ เขาให้การสนับสนุนเพื่อเอาไว้เล่นงานรัฐบาลซีเรีย หรือเอาไว้ฉีกประเทศซีเรียออกเป็นชิ้นๆ นั่นเอง...

หรือเรื่องที่ตุรกีซึ่งแม้จะเป็นพันธมิตรรายสำคัญของ “นาโต” ในฐานะเป็นพื้นที่ที่สามารถนำเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปติดตั้งเพื่อใช้เป็นตัวกดดันรัสเซียได้เป็นอย่างดี แต่ไปๆ-มาๆ ดันคิดจะหันไปหาซื้ออาวุธรัสเซีย อย่างระบบป้องกันขีปนาวุธ “S-400” ไปซะนี่ รวมทั้งยังไปหันจับมือถือแขนกับอิหร่าน ไม่เพียงแต่ร่วมกับรัสเซียและอิหร่านในการสร้างหลักประกันสันติภาพให้กับซีเรีย โดยไม่คิดจะชวนอเมริกาเข้าร่วมด้วย ยังประกาศพร้อมที่จะเดินหน้าซื้อน้ำมันจากอิหร่าน โดยไม่ได้สนใจการแซงชั่นของอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญเอามากๆ ก็คือ ยังหันไปเล่นงาน “กล่องดวงใจ” ของอเมริกา คือหันไปด่า ไปประณามอิสราเอล ในกรณีการปราบปรามผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ต่างไปจาก “ผู้ก่อการร้าย” จนนายกรัฐมนตรีอิสราเอลต้องออกมาตอบโต้ ว่าตุรกีเองนั่นแหละ...ก็ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายในซีเรียมาโดยตลอด ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ เป็นต้น...

สรุปเอาเป็นว่า...มันเป็นปมประเด็นความขัดแย้งที่ต่อเนื่องกันมานานพอสมควร และยากส์ส์ส์ที่จะชำระสะสาง หาจุดลงตัวกันได้ง่ายๆ นอกซะจากต้อง “ใส่ให้เละ” กันไปข้าง ดังนั้น...เมื่อคุณพ่ออเมริกาเริ่มมองเห็นถึง “จุดอ่อน” บางอย่าง ซึ่งกำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในตุรกี นั่นก็คือความร้อนแรงของระบบเศรษฐกิจ ที่แม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของตุรกีจะพุ่งขึ้นไปถึง 7.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา อันถือเป็นการขยายตัวสูงสุดในระดับโลกก็ว่าได้ แต่ลักษณะของการขยายตัวเช่นนี้ กลับออกไปทาง “โอเวอร์ฮีท” อย่างเห็นได้ชัดเจน หรือก่อให้เกิดความไม่สมดุลในระบบการเงิน การธนาคาร จนทำให้ค่าเงินสกุลลีราอ่อนยวบๆ ยาบๆ ลงไปนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา การควักดาบ ควักมีด ออกมาเชือดไก่งวง ด้วยการแซงชั่นบุคคลบางรายในตุรกี รวมทั้งการประกาศขึ้นภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ที่ถือเป็นรายได้สำคัญของตุรกีในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว ก็จึงถือเป็นการเข้าล็อก เข้าทางตีน “ทรัมป์บ้า” ไปด้วยประการละฉะนี้...

แต่ก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ประธานาธิบดี “เออร์โดกัน” แห่งตุรกี ท่านคงต้องสู้แบบ “ตายยิบ” หรือสู้ยิบตาอยู่แล้วแน่ๆ ไม่เพียงหันไปปลุกระดมประชาชนชาวตุรกี จนถึงขั้นพร้อมออกมาเผาธนบัตรดอลลาร์ใบละตั้ง 100 ดอลลาร์กันเห็นๆ ประกาศว่าจะหันไปซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกับบรรดาคู่ค้าและมิตรประเทศด้วยเงินตราสกุลท้องถิ่น โดยไม่คิดจะใช้เงินดอลลาร์อีกต่อไป รวมทั้งเริ่มหาทางออกมาตรการทางการเงินชุดนั้น ชุดนี้ และคงมีอีกหลายต่อหลายชุดตามมาอีกเยอะ จนทำให้ค่าเงินลีราพอได้เด้งๆ ขึ้นมาแล้วมั่ง แต่สิ่งสำคัญ...ที่ว่ากันว่าน่าจะถือเป็น “อำนาจต่อรอง” หรือเป็น “คานงัด” สำหรับตุรกีได้ไม่น้อย ก็คือบรรดา “หนี้สิน” ของตุรกี ที่จะต้องชดใช้คืนเป็นเงินดอลลาร์ หรือยูโรให้กับบรรดาธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรปนั่นเอง ด้วยเหตุเพราะแม้การไม่เป็นหนี้จะถือเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ถ้าหากเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเป็นหนี้ หลักของการเป็นหนี้นั้น มันก็มีอยู่ว่า...ถ้าหากหนี้น้อย หนี้นั้นย่อมถือเป็น “ปัญหาของตัวเอง” แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่หนี้เยอะ หนี้นั้น...ย่อมกลายเป็น “ปัญหาของธนาคาร” ที่จะต้องไปหาทางแก้ หาทางเยียวยากันเอาเอง...

ดังนั้น...เมื่อมองจากปริมาณหนี้สินของบรรดาบรรษัทต่างๆ ในตุรกี ที่มีจำนวนไม่น่าจะต่ำกว่าประมาณ 222,000 ล้านดอลลาร์ มันจึงกลายเป็นเรื่องที่บรรดาธนาคารในยุโรป รวมทั้งรัฐบาลของกลุ่มประเทศอียู หนีไม่พ้นต้องโดดเข้ามาหาทางแก้ไข เยียวยา ให้กับบรรดาลูกหนี้ในตุรกี อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย จะมัวเอามือซุกหีบอยู่เฉยๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแน่ๆ เพราะถ้ายังปล่อยให้ “วิกฤตต้มยำไก่” กลายเป็นแบบเดียวกับ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ขึ้นมาเมื่อไหร่ สุดท้าย...ย่อมหนีไม่พ้นต้องพังกันไปทั้งบาง หรือฉิบหายวอดวายกันไปทั่วทั้งโลก นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น