ผู้จัดการรายวัน360-"ไทยออยล์"ทุ่ม 1.6 แสนล้าน ลงทุนโครงการพลังงานสะอาด เตรียมเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ 27 ส.ค.นี้ เผยเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง คาดมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนองนโยบายอีอีซี เหตุจะมีการผลิตน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น รองรับ 3 สนามบินใหญ่ ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ว่า ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทได้เห็นชอบโครงการลงทุนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท จึงจะขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561ในวันที่ 27ส.ค.นี้ก่อน และคาดว่าภายในปีนี้จะสรุปคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้ทัน เพราะบริษัทได้ออกประกาศเชิญชวนให้ผู้รับเหมาเข้ามายื่นประมูลเพื่อดำเนินโครงการแล้ว ซึ่งมีผู้มายื่น 2 กลุ่มจากยุโรป และเอเชีย
โครงการ CFP ประกอบด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนักที่มีราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบชนิดเบาที่บริษัทกลั่นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบลงได้ และยังเป็นการอัพเกรดน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานได้เพิ่มขึ้น และส่งผลให้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 /2566
นายอธิคมกล่าวว่า โครงการ CFP จะมีการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 250เมกะวัตต์เพื่อใช้ภายในโรงกลั่น โดยจะนำผลพลอยได้จากกระบวนการกลั่น คือ Residue เป็นเชื้อเพลิงช่วยลดต้นทุนด้นพลังงานลง ซึ่งเบื้องต้นบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนโรงไฟฟ้าก่อนเพื่อให้โครงการเดินหน้าได้โดยเร็ว แต่หลังจากนั้น จึงค่อยพิจารณาว่าจะโอนโรงไฟฟ้านี้ให้กับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เป็นแกนนำธุรกิจไฟฟ้าหรือไม่
ส่วนแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินโครงการ จะมาจากกระแสเงินสดที่ปัจจุบันมีประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8 หมื่นล้านบาท และบางส่วนมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน หรือออกหุ้นกู้ประมาณ 1,500-2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นกับจังหวะตลาดที่เหมาะสม เพราะโครงการดังกล่าวเป็นการทยอยลงทุนตามระยะเวลาดำเนินการ 4-5 ปี นับเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยไม่ได้ลงทุนโครงการระดับนี้มานานแล้ว และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตขึ้นด้วย
ด้านแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ครึ่งปีหลัง จะใกล้เคียงไตรมาส2/2561 ที่ประมาณ 5.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) อยู่ที่ประมาณ 8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมี สายอะโรเมติกส์ดีขึ้น และราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 70-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ กล่าวว่า การลงทุนโครงการ CFP ของไทยออยล์ ถือเป็นโครงการที่สนับสนุนนโยบายระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เนื่องจากโครงการCFP นี้ จะมีกำลังผลิตน้ำมันอากาศยาน (Jet) เพิ่มมากขึ้น รองรับ 3 สนามบินใหญ่ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ว่า ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทได้เห็นชอบโครงการลงทุนดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท จึงจะขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561ในวันที่ 27ส.ค.นี้ก่อน และคาดว่าภายในปีนี้จะสรุปคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้ทัน เพราะบริษัทได้ออกประกาศเชิญชวนให้ผู้รับเหมาเข้ามายื่นประมูลเพื่อดำเนินโครงการแล้ว ซึ่งมีผู้มายื่น 2 กลุ่มจากยุโรป และเอเชีย
โครงการ CFP ประกอบด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบชนิดหนักที่มีราคาต่ำกว่าน้ำมันดิบชนิดเบาที่บริษัทกลั่นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สามารถลดต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบลงได้ และยังเป็นการอัพเกรดน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานได้เพิ่มขึ้น และส่งผลให้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 /2566
นายอธิคมกล่าวว่า โครงการ CFP จะมีการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 250เมกะวัตต์เพื่อใช้ภายในโรงกลั่น โดยจะนำผลพลอยได้จากกระบวนการกลั่น คือ Residue เป็นเชื้อเพลิงช่วยลดต้นทุนด้นพลังงานลง ซึ่งเบื้องต้นบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนโรงไฟฟ้าก่อนเพื่อให้โครงการเดินหน้าได้โดยเร็ว แต่หลังจากนั้น จึงค่อยพิจารณาว่าจะโอนโรงไฟฟ้านี้ให้กับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่เป็นแกนนำธุรกิจไฟฟ้าหรือไม่
ส่วนแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินโครงการ จะมาจากกระแสเงินสดที่ปัจจุบันมีประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8 หมื่นล้านบาท และบางส่วนมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน หรือออกหุ้นกู้ประมาณ 1,500-2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นกับจังหวะตลาดที่เหมาะสม เพราะโครงการดังกล่าวเป็นการทยอยลงทุนตามระยะเวลาดำเนินการ 4-5 ปี นับเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยไม่ได้ลงทุนโครงการระดับนี้มานานแล้ว และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตขึ้นด้วย
ด้านแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ครึ่งปีหลัง จะใกล้เคียงไตรมาส2/2561 ที่ประมาณ 5.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) อยู่ที่ประมาณ 8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมี สายอะโรเมติกส์ดีขึ้น และราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นจากปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 70-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ กล่าวว่า การลงทุนโครงการ CFP ของไทยออยล์ ถือเป็นโครงการที่สนับสนุนนโยบายระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เนื่องจากโครงการCFP นี้ จะมีกำลังผลิตน้ำมันอากาศยาน (Jet) เพิ่มมากขึ้น รองรับ 3 สนามบินใหญ่ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมืองและอู่ตะเภา