xs
xsm
sm
md
lg

สดุดีวีรบุรุษพลังใหม่หมายเลขหนึ่ง : ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสาน ต่างใจ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ


ความจริง ผมได้เขียนและส่งคำไว้อาลัยถึง”หมอ” ไปให้เดวิดนานแล้ว ถ้าหากเดวิดไม่ได้รับและพิมพ์ไม่ทันก็จะเป็นเรื่องเศร้า ผมไม่อยากโทษเทคโนโลยีหรืออำนาจลึกลับที่เหนือกว่านั้น เพราะเรา”หมอ”กับ”ผม” เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งทั้งหลายว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”

“หมอ” เป็นเพื่อนที่ผมรักและสนิทที่สุดคนหนึ่งในโลก ทั้ง ๆ ที่”หมอ” อายุมากกว่าผมหลายปี

ผมจำได้เลือนรางว่าผมรู้จักกับ“หมอ” และ “หมอประเวศ” พร้อมกันก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เล็กน้อยโดยไม่มีผู้ใดแนะนำ วันนั้นผมไปพูดกับนิสิตแพทย์หรือแพทย์ที่ศิริราช เรื่องอะไรสักอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับสังคมและการเปลี่ยนแปลง เมื่อจบภาคสอบถามแล้วมีหมอสองคนเดิน มาขอคุยต่อ เป็นคนดังในวงการปัญญาชนทั้งคู่ ตอนนั้นผมอายุปลายสามสิบ และ “หมอ” กลางสี่สิบ

ตั้งแต่นั้นมาเราก็สนิทสนมเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องทุกแบบๆภาษาฝรั่งเรียกว่า “no holds barred”. ทั้งนี้ผมอธิบายไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะว่า “บุคลิกลักษณะ”ของ “หมอ” กับผมมัน “สมพงศ์” กันโดยอาจจะมีเรื่องหนึ่งที่เราทั้งคู่สนใจเป็นพิเศษ คือ เรื่องการเมืองและสังคม เป็นตัวเชื่อม หลังจากนั้นก็แพร่ไปสู่เรื่องอื่นๆครอบจักรวาล และกลับลงมาหาเรื่องที่เล็กลงมาถึงครอบครัว ครอบครัวของผมกับของ“หมอ”กลายเป็นญาติสนิทซึ่งกันและกันนับตั้งแต่พ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายและผองเพื่อน ตอนนั้นคุณพ่อของ“หมอ”เสียแล้ว เหลือแต่“คุณย่า” ของผมยังอยู่ครบ หมอประสานก็กลายมาเป็นลูกของพ่อแม่ผมอย่างสนิทสนมกลมกลืน. พ่อผมเป็นแพทย์ศิริราชรุ่นที่ 1 จบปี 2470 ส่วน“หมอ” เป็นแพทย์จุฬาฯ หมอประเวศศิริราช เข้าเรียนแพทย์หลังปี 2490 ไม่ทันเห็นฝุ่นกัน แต่ผมทันเห็นหมอสามรุ่นพ่อ คืออาหมอเสม พริ้งพวงแก้ว ศิริราชหลังพ่อผม 7 รุ่น กับ หมอประสาน หมอประเวศ พบปะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในเรื่องที่ออกจะเป็นการเมืองมากกว่าการแพทย์

เพราะการเมืองนี่เองที่ทำให้ “หมอ” กับผม ได้กลายมาเป็นเพื่อนตายกัน

ตอนที่เรารู้จักกันนั้น “หมอ”เป็นอาจารย์แพทย์ที่จุฬาฯ ผมเป็นอาจารย์การเมืองที่ธรรมศาสตร์ ถึงแม้จะยังหนุ่ม แต่หมอก็เป็นศาสตราจารย์แพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์แล้ว และได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพยาธิวิทยาและเอตะทัคคะของโลกเรื่องพิษสุนัขบ้า

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ทำให้เราทั้งสองอำลาราชการออกมาสู่ชีวิตการเมืองอย่างเต็มตัว หมอกับเพื่อนๆผมอีก 15-16 คน เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้งพรรคพลังใหม่ แท้จริงผู้ใหญ่ของบ้านเมืองในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ป๋วยกับ พลเอกกฤษณ์ สีวะราได้ขอร้อง ให้พวกเราเสียสละนำเลือดใหม่น้ำดีเข้ามาสู่การเมือง เพื่อป้องกันการเมืองน้ำเน่าและวงจรอุบาทว์มิให้กลับมา หรืออย่างน้อยก็มิให้เร็วหรือรุนแรงอย่างเดิม พลเอกกฤษณ์เกรงว่าจะถูกล้างแค้นโดยอำนาจเก่า แม้การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ก็เชื่อได้ว่าแนวโน้มจะไม่ต่างจากเดิม อาจารย์ป๋วยเป็นนายทุนคนแรกและคนเดียวของพรรคด้วยการบริจาคเงินเดือนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสามพันกว่าบาทให้เป็นประจำทุกเดือน

คนนอกมักจะเข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้นำผลักดันพรรคพลังใหม่ หรือไม่ก็หมอกระแส ซึ่งมิใช่ทั้งสองคน

ผู้กระตือรือล้นและขันแข็งที่สุดเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง หญิงได้แก่ ดร.เอื้อน มีสุข ชายก็ได้แก่หมอประสานนั่นเอง ด้วยเหตุนี้สมาชิกพลังใหม่จึงเต็มไปด้วยแพทย์ Ph.D. และสตรี การประชุมตั้งพรรคใช้เวลาหลายเดือนผลัดไปกันอยู่ 3 บ้าน คือบ้านของ (พ่อตา) ศิววงศ์ จังคะศิริ แถวบางลำภู บ้านของพ่อแม่เอื้อย คืออาจารย์บุญเยี่ยม และคุณหญิงอัมพร มีสุข ถนนเอกมัย และบ้านหมอประสาน ที่ซอยหมู่บ้านพัฒนา คลองประปา หลังสุดท้ายนี้ได้กลายเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในประวัติของพรรคพลังใหม่และประวัติศาสตร์การเมืองไทย ถ้าเป็นประเทศที่การเมืองเจริญป่านนี้คงขึ้นทะเบียนติดป้ายสีน้ำเงินเป็นบ้านประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ผมเตือนเพื่อนฝูงว่าอย่ามักใหญ่ใฝ่สูงและอย่าคิดร่วมหรือเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง การเมืองจะต้องเปลี่ยนกลับและเป็นอันตรายใหญ่หลวงในไม่ช้าแน่นอน เพราะฉะนั้นอย่าเร่งให้พรรคโตหรือชวนคนโน้นคนนี้มาให้มากมาย ผมเองชวนคนเข้าพรรคเพียง 3 คนเท่านั้น คือหมอกระแส ดร.อาทิตย์ และไพทูรย์ แก้วทอง. ปรากฎว่าผมคิดถูก. ทั้งสามคนชอบการเมืองเป็นชีวิตจิตใจและได้เป็นรัฐมนตรีกันคนละหลายกระทรวง ถึงตอนนั้นพรรคพลังใหม่ได้จบบทบาทลงไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่บรรดาผู้นำที่เป็นแกนของพรรคยังเกาะกลุ่มกันอยู่อย่างเหนียวแน่นจนกระทั่งถึงวันนี้ เหตุผลอย่างหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหมอประสานเป็นศูนย์กลางของสายสัมพันธ์ที่มั่นคงไม่เสื่อมสลาย ผมเสียดายที่หมอไม่เคยได้รับเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งใด ๆ

พรรคพลังใหม่เป็นพรรคการเมืองที่ประธานโค้วตงหมงหรือประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ผู้คร่ำหวอดยกนิ้วให้เป็น “พรรคการเมืองที่ดีที่สุดในประเทศไทย” และพลเอกสุจินดา คราประยูร อดีตนรม.ยุครสช.ถือว่าเป็นพรรคการเมืองตัวอย่าง “อยากให้พรรคการเมืองในประเทศไทยยึดพรรคพลังใหม่เป็นโมเดล” ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพรรคพลังใหม่ต่างกับพรรคการเมืองทุกพรรคที่ล้วนแต่เป็นพรรคหัวหน้าตั้ง พลังใหม่จึงไม่มีพฤติกรรมเป็นแก๊งเลือกตั้งหรืออั้งยี่ที่สมาชิกเป็นทาสของหัวหน้า

พรรคจึงเป็นของสมาชิกที่มีคนละหนึ่งหุ้นเท่ากัน มติทุกอย่างต้องผ่านการศึกษาอย่างรอบคอบและลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนนำไปปฏิบัติ. ผมกล้ากล่าวได้ว่าคนที่ไม่เคยขาดการประชุมพรรคเลยสักครั้งเดียวคือหมอประสาน ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่านอกจากการเป็นบุคคลที่เปี่ยมด้วยวินัยแล้ว การประชุมที่สำคัญและยืดเยื้อทุกครั้งมิได้เกิดที่สำนักงานพรรคซึ่งเป็นที่เช่าย้ายไปย้ายมาหลายครั้ง แต่เป็นการประชุมที่บ้านหมอประสานซึ่งสะดวกและปลอดภัยกว่า

ครั้งหนึ่งเมื่อพรรคกิจสังคมคว่ำรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่พรรคพลังใหม่ยก 12 เสียงของพรรคให้ประชาธิปัตย์ฟรี ๆ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ หวั่นหน้าผู้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้นำเทียบและคณะประกอบด้วยคุณเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ คุณใหญ่ ศวิตชาติ คุณประกายเพชร์ อินทุโสภณ มาที่บ้านหมอประสานเพื่อเชื้อเชิญให้พรรคพลังใหม่เข้าร่วมรัฐบาล

ในที่สุดหมอประสานจำต้องขายบ้านหลังนั้นไปเพื่อนำไปต่อทุนการต่อสู้ทางการเมืองของพรรคแต่ทั้งนี้หาได้หมายความว่าการเป็นศูนย์กลางของพลังใหม่ของหมอประสานได้ยุติลงตามบ้านก็หาไม่

หมอประสานลงสมัครรับเลือกตั้ง 3 ครั้ง ครั้งสำคัญคือการสมัครเป็นรองผู้ว่าในทีมของดรฺ.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้สมัครรองอีก 2 คนได้แก่ ดร.สืบแสง พรหมบุญ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และ น.ต.สุชน บรรจงจิตร รน. จากกองทัพเรือ ครั้งนั้นเราปราบแชมป์เก่าในเขตใจกลางกรุงได้เกือบทั้งหมดแต่ไปแพ้ที่อำเภอรอบนอกที่มีคะแนนเสียงหนาแน่นมากกว่า เสียดายที่ในยุคนั้นยังไม่มีทีวีหาเสียงและไม่มีโซเชียลมีเดียเหมือนยุคนี้ เราจึงไม่สามารถใช้ความ”สว่าง”ของเราเอาชนะความมืดของคู่แข่งได้ เสียดายที่ถ้าหากทีมดร.อาทิตย์ หมอประสาน และคณะได้รับเลือก การเมืองท้องถิ่นและการเมืองของประเทศอาจจะไม่จมปลักอยู่อย่างนี้ และเสียดายที่การเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้พลังใหม่ถูกป้ายสีเป็นคอมมิวนิสต์คิดล้มล้างราชบัลลังก์เสียจนประชาชนส่วนหนึ่งและฝ่ายความมั่นคงพากันเชื่อ

พลังใหม่กลายเป็นแพะบูชายัญต้องสูญเสียชีวิตและถูกทารุณกรรมจากอำนาจมืดและแกงค์การเมืองโหดจนเกินกว่าที่จะบรรยาย. 2 ใน 12 ส.ส.ถูกมือปืนลอบสังหาร คือเอี่ยมศักดิ์ หลิมสมบูรณ์ (ภูเก็ต) และเฉลิมชัย วงษ์ตรันไตรย์ (ลพบุรี) สมหวัง ศรีชัย (ชัยนาท) รองหัวหน้าพรรคเบอร์สองรองจากหมอถูกระเบิดถล่มกลางเวทีปราศรัยตายไป 9 โชคดีที่สมหวังรอด ผู้สมัครและสมาชิกในท้องถิ่นตายหรือบาดเจ็บอีกนับสิบ สำนักงานพรรคถูกโยนระเบิดบังเอิญผู้จู่โจมตกใจชนกันเองตายหนึ่งแขนขาดหนึ่ง และฯลฯ มากกว่านี้. ที่แคล้วคลาดเพราะบุญบารมีหรือโชคก็มิรู้ได้คือหัวหน้ากับรองที่เป็นหมอทั้งคู่คือหมอกระแสกับหมอประสาน

หมอเป็นมนุษย์มหัศจรรย์คือเข้ากับใครก็สนิทชิดเชื้อได้หมด พูดกันรู้เรื่องหมดไม่ว่าต่ำหรือสูง หมอได้แบกภาระแม้กระทั่งเรื่องต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นรูมาเนีย เยอรมัน หรือ สแกนดิเนเวีย. คนที่สนิทสนมกับหมอที่สุดชื่อแอนห่อยจากสถานทูตนอร์เวย์คอยแจ้งเหตุเภทภัยทางการเมือง ให้หมอเสมอ แม้กระทั่งจัดให้ไปลี้ภัยในนอร์เวย์หลังเหตุการณ์ 6 ตุลามหาโหด หมอไปเยี่ยมอาจารย์ป๋วยที่ลอนดอน ก่อนจากกันคืนนั้นทั้งสองคนกอดกันเช็ดน้ำตา วันรุ่งขึ้นอาจารย์ป๋วยก็สะโตรก หมอกลับเมืองไทยและอยู่ได้อีกหลายปีรวมทั้ง 4-5 ปีหลังที่ทนทุกข์ทรมานติดเตียงเคลื่อนไหวไม่ได้มีสายระโยงระยางเต็มร่างกายไปหมด จนผมแทบจะทนไม่ได้ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมหมอ

ก่อนอาจารย์ป๋วยออกจากเมืองไทย 2 ปี ผมกับอาจารย์ได้ใช้บ้านหมอซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านอาจารย์เป็นแหล่งนัดพบ เพื่อจะเปลี่ยนรถขับคุยกันไปตามท้องถนนเป็นการคลายเครียด หลายครั้งหมอก็ร่วมไปด้วย หมอกับอาจารย์สามารถคุยกันเรื่องบาปบุญและพุทธศาสนาได้อย่างลึกซึ้ง

ในที่สุดทุกอย่างก็เคลื่อนไหวไปตามวัฏสงสาร ตามกฎแห่งกรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ผมโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นเพื่อนหมอ เรื่องของผมกับหมอมิใช่เพียงแต่ครอบแต่ออกไปไกลกว่านอกจักรวาลเสียอีก

แต่การเขียนครั้งนี้ เล่าเฉพาะเรื่องการเมือง เป็นการสดุดีหมอ “วีรบุรุษพลังใหม่หมายเลขหนึ่ง”ของผม


กำลังโหลดความคิดเห็น