xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**กางใบเสร็จ “โรงไฟฟ้าขยะแสนล้าน” ตั้งแต่ใช้คำสั่ง มาตรา 44 งดเว้น “กม.ผังเมือง-EIA” มาถึงโครงการโรงแยกขยะเชียงราย 300 ล้าน ที่ใช้งานไม่ได้ แต่คนตรวจสอบอย่าง “ผู้ว่าฯณรงศักดิ์” กลับโดนเด้ง รวมทั้ง “โควต้าไฟฟ้าขยะ” ที่บวมจน “ก.พลังงาน” ต้องตีตกไปครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงอ้าง “ลูกผู้มีอำนาจ” จนกลายเป็น “ขี้ปาก” คนในวงการพลังงาน จน “บิ๊กป๊อก” ต้องมาออกตัวเองว่า “ลูกชายผมไม่เกี่ยว” นี่ไง

มันก็จะร้อนๆ หน่อย .. สัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันแล้ว ที่มีการปล่อย “คำชี้แจ้ง”ของ “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ออกมา .. เป็น “คำชี้แจง”อันเกี่ยวเนื่องกับ “มหาเมกะโปรเจกต์แสนล้าน" โครงการบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ พ่วงกับ นโยบายการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน ในความดูแลของ กระทรวงมหาดไทย .. ทุกๆ ครั้งก็จะเป็น “คำชี้แจง”ในลักษณะ “แผ่นเสียงตกร่อง”พรรณนา ที่มาที่ไป เหตุผลความจำเป็น ของโครงการ ซ้ำไปมา ที่ต้องบอก “ไม่มีใครเถียง” ..ต่างรู้กันดีอยู่ถึง “ความจำเป็น” ในการแก้ไขปัญหาขยะล้นเมือง และการนำขยะไปผลิตพลังงานไฟฟ้าก็เป็น “ทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง” แต่ที่มันชัดกว่า คงเป็นเรื่อง “ความไม่ชอบมาพากล”ที่ตามมา .. โดยเฉพาะ “ขี้ปาก”ของ “คนในวงการ”ที่มักพาดพิงไปถึง “ลูกผู้มีอำนาจ” ที่มีพฤติกรรม “เรียกรับผลประโยชน์” เพื่อแลกกับ “ใบเบิกทาง” ของโรงคัดแยกขยะก็ดี โรงไฟฟ้าขยะก็ดี .. ถอดรหัส “คำแก้ต่าง”ล่าสุดของ “มท.1” ที่นอกจากสะท้อนอาการ “อยู่ไม่สุข” แล้วยังสะท้อนว่า “บิ๊กป๊อก” น่าจะ “ระแคะระคาย” อะไรบางประการ ..
จากคำพูดของ “พ่อป๊อก” ที่จู่ๆ เอ่ยถึง “ลูกชาย” ขึ้นมาว่า “...การโจมตีบุคคลในครอบครัวของผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะนั้น ยืนยันว่า ครอบครัวไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแน่นอน ลูกชายบอกว่าไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว หรือร่วมทุนกับใคร เรื่องนี้ไม่ใช่จะมากล่าวหากันลอยๆ ได้...” .. ไม่เท่านั้น “มท.ป๊อก” ยังร้องถามหา “ใบเสร็จ” ราวกับไม่รู้ว่า “เรื่องพรรค์นี้”ใครเขาจะทิ้ง “หลักฐาน”ไว้ให้ตามกลิ่นกันได้ .. ก็เหมือนกับโครงการฉาวโฉ่ในอดีต ทั้ง “ไม้ล้างป่าช้า GT200” ที่สเปกวิเศษวิโส ซื้อกันกระจายเป็นพันเครื่อง สุดท้ายใช้ไม่ได้ .. หรือ“เรือเหาะ 800 ล้าน” ที่ถูกปลดระวาง ทั้งที่ไม่เคยใช้งาน ไล่มาถึง “ป่ากระทิงแดง” ที่เรื่องแดงขึ้นมาก่อนกลับลำโยนเป็นความผิดของ “ลูกน้อง” .. ทุกเรื่องที่ว่าไป เหมือนกันอยู่อย่างคือ พบการกระทำผิดจริง แต่ “คนร้าย”ลอยนวล จับมือใครดมไม่ได้ ทั้งที่เห็นทนโท่ว่า ใครเซ็น ใครสั่งซื้อ .. ส่วนเรื่องโรงไฟฟ้าขยะ ณ ตอนนี้มันก็มีแค่ “ขี้ปาก”ของ “คนในวงการ” อันเป็น “ข้อร้องเรียนอย่างไม่เป็นทางการ” ที่ฟ้องถึงพฤติกรรม “กินละเอียด” ของ “ลูกเสือ” .. ที่นับวันจะมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ จากกินเล็กๆ น้อยๆ สะสม “เมกฯละโล” เหมือนที่คนอื่นทำมาก่อน ก็โหดขึ้นเป็น “กินหัว กินหาง กินกลางตลอดตัว” .. แว่วว่า ณ ตอนนี้ “ค่าตั๋ว” พุ่งกระฉูดไปสูงสุดที่ “600โลต่อโรง” เรตที่ว่าเป็นราคาตลาดในพื้นที่ กทม. ขณะที่พื้นที่อื่นๆ ก็ลดหลั่นกันไปตามปริมาณขยะ-ปัจจัยแวดล้อม แต่ขั้นต่ำสตาร์ทกันที่ “ร้อยโล” ขึ้นไป .. ที่เรตทะยานไป “มหาโหด”ขนาดนี้ คงเป็นแพกเกจแบบ “ครบวงจร” การันตีว่าโครงการผ่านชัวร์ เนื่องจากที่ผ่านมา แค่ถือ “ตั๋วซื้อไฟ”ที่ว่า “เมกฯละโล”ไปกันไม่รอด “คนออกตั๋ว”ก็ลอยตัว ไม่รับผิดชอบ ..
แล้วถ้าจะเอา “ใบเสร็จ”กันจริงๆ ก็ต้องบอกว่า การยกระดับ “ปัญหาขยะล้นเมือง”เป็น “วาระแห่งชาติ” นี่แหละที่บ่งบอกว่า “โปรเจกต์โรงไฟฟ้าขยะ” มีกลิ่นแห่ง “ความไม่ชอบมาพากล” ..ไล่เรียงตามไทม์ไลน์ ดูจะเป็น “ใบเสร็จ”ก็เอากันตั้งแต่การใช้ “มาตรา 44”ยกเว้นการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โรงไฟฟ้า-โรงคัดแยกขยะ ตลอดจนก้าวข้ามข้อจำกัดด้าน “ผังเมือง”ที่เรียกว่า จะจิ้มตั้งตรงไหนก็ได้ .. จนแล้วจนรอด ก็ยังเจอมรสุมแรงต้านสารพัดสารเพ โดยเฉพาะการคัดค้านจากชาวบ้านในพื้นที่พิกัดที่ตั้งโรงคัดแยก-โรงไฟฟ้าขยะทั่วประเทศ ถึงขั้นต้อง “ผ่าทางตัน”ไปใช้พื้นที่ “ค่ายทหาร”นำร่องไปแล้วกับโปรเจกต์ 2 พันล้านบาท ที่ จ.นครราชสีมา .. หรืออย่าง โรงคัดแยกขยะมูลค่า 300 ล้านบาทที่ จ.เชียงราย ที่สร้างเสร็จแล้วใช้ไม่ได้ แต่คนที่กำลังตั้งท่าจะเข้าไปตรวจสอบอย่าง “ผู้ว่าฯหนึ่ง”ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร กลับถูกย้ายออกจากพื้นที่อย่างปัจจุบันทันด่วน ..
แล้วยังมีโควตารับซื้อพลังงานไฟฟ้าชีมวล ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ตามแผนของ กระทรวงพลังงาน ตั้งไว้แค่ 36 เมกะวัตต์ ก่อนใครก็ไม่รู้ไป “ยัดไส้”จน“บวมเป่ง” เข้า ครม.อีกที กลายเป็น 400 เมกะวัตต์ ซะงั้น .. รวมไปถึงความววุ่นวายใน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ดันไป “ตีตก”โควตารับซื้อพลังงานไฟฟ้าขยะที่ กระทรวงมหาดไทย รีเควส จาก 500 เมกะวัตต์ เป็น 900 เมกะวัตต์ .. เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว เกินกว่าความต้องการของประเทศ จนถูกกดดันให้ “บางส่วน”ต้องลาออก อ้างไปถึง “วาระ”ที่กฎหมายกำหนด ..แรงกดดันให้ กรรมการ กกพ. ลาออกครึ่งหนึ่ง เริ่มซาๆไป สอดรับกับข่าวล่าว่า กระทรวงพลังงาน “เซย์เยส”ขอรับซื้อพลังงานจากไฟฟ้าขยะเพิ่มอีก 400 เมกะวัตต์ เป็นที่เรียบร้อย .. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างกรรม ต่างวาระ แต่มองภาพรวมแล้วก็เป็นเรื่อง “โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ”แทบทั้งสิ้น สะท้อนว่างานนี้ “ไอ้โม่ง”ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังต้องระดับ “ไม่ธรรมดา” .. ส่วนจะ “ลูกชายผู้มีอำนาจ”จริงหรือเปล่า คงต้องไปถามจากปาก “คนในวงการ”เอาเอง

**ปิ้งปลาประชดแมว!! กบศ.เคาะย้าย “ศาลอุทธรณ์ภาค 5”ไป จ.เชียงราย ชิ่งปม “หมู่บ้านป่าแหว่ง” ทั้งๆ ที่ในส่วนของสำนักงานศาลฯ ที่สร้างอยู่ด้านล่าง ไม่ได้เป็นปัญหา แค่หาพื้นที่สร้างที่พักให้ข้าราชการ-ตุลาการใหม่ ไม่น่ายาก “ภาคประชาชน”ไม่สนใจ เดินหน้าทวงพื้นที่ “บ้านพัก 45 หลัง อาคารชุด 9 หลัง”บนพื้นที่พิพาท เพื่อเดินแผนฟื้นฟูป่าสมบูรณ์ต่อ
เหมือนจะดี .. กรณีที่ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (กบศ.) ออกมาประกาศว่า จะย้าย “ศาลอุทธรณ์ภาค 5”จาก จ.เชียงใหม่ ไปยัง จ.เชียงราย พร้อมกับจะสร้างบ้านพักศาลแห่งใหม่ .. เรื่องของเรื่อง ก็เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา “หมู่บ้านป่าแหว่ง”บ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ ที่ยังแก้กันไม่ตก มาถึงตอนนี้ .. แต่ถามว่าแนวทางดังกล่าว “เกาถูกที่คัน”หรือไม่ เพราะประเด็นปัญหาของ “หมู่บ้านป่าแหว่ง” อยู่ส่วนของ “บ้านพัก 45 หลัง อาคารชุด 9 หลัง” ที่เข้าไปอยู่ใน “พื้นที่พิพาท”ที่เคยเป็น “ป่าสมบูรณ์” .. ไม่ได้เกี่ยวกับอาคารสำนักงาน “ศาลอุทธรณ์ภาค 5” ที่อยู่ในบริเวณด้านล่างแต่ประการใด ..
หากจำกันได้ ชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา ในฐานะ กรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) และอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 เคยพูดไว้ทำนองนี้เหมือนกัน .. “...อีกไม่นานจะต้องมีคดีเลือกตั้งท้องถิ่น จะมีการฟ้องกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้วใครจะพิจารณาหากผู้พิพากษาไม่มีที่อยู่ ท่านอาจจะต้องเดินทางไปฟ้องกันที่กรุงเทพฯ ทั้งภาคเลย เป็นเรื่องใหญ่ ท่านไม่อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิพากษา...” .. ที่ตอนนั้นถูกมองว่าเป็นคำขู่ ใช้ความลำบากของประชาชนเป็น “ตัวประกัน”แลกกับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้พิพากษา .. อิหรอบนี้ไม่ต่างจาก “ปิ้งปลาประชดแมว” ประชดประชันกันไป มีแต่จะเสียประโยชน์ เพราะเท่ากับจะทิ้งสำนักงานที่สร้างไว้ใหญ่โตไปเฉยๆ .. อย่าลืมว่าอาคารสำนักงาน “ศาลอุทธรณ์ภาค 5”ที่สร้างเสร็จพร้อมใช้งาน ก็มาจากภาษีประชาชนเหมือนกัน .. ในเมื่อ “ออฟฟิส”ใช้การได้ ขาดแต่ “ที่หลับที่นอน”ก็ไม่น่ายากกับการหาพื้นที่เหมาะสม ใน จ.เชียงใหม่ ที่ราชพัสดุ พื้นที่เขตทหาร ก็มีออกมาก ที่ดินผืนติดๆ กับอาคารสำนักงาน ก็ยังมีถมเถ .. เห็นทาง ธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ก็ดูจะไม่แคร์ ว่าจะย้ายหรือไม่ย้าย .. พร้อมกับจี้ขอความชัดเจนเรื่อง “บ้านพัก 45 หลัง และอาคารชุด 9 หลัง” ที่อยู่บนพื้นที่พิพาทนั้น ที่เคยระบุว่า จะคืนพื้นที่กลับคืนให้กับ กรมธนารักษ์ ว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อใด .. ซึ่งหากการคืนพื้นที่ยังไม่แล้วเสร็จ กระบวนการฟื้นฟูปลูกป่า ปรับสภาพให้เป็น “ป่าสมบูรณ์”ดังเดิม ที่ “นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยให้สัญญากับประชาชน ก็เริ่มต้นไม่ได้ ซักที.

**โอกาสนี้ท่านได้แต่ใดมา!! “อนุทิน”ติดโผเรียน วปอ.61 หลักสูตรซูเปอร์คอนเนกชัน ทั้งที่ “ลุงตู่”เคยประกาศห้ามนักการเมืองเข้าเรียน ถึงขนาดปีก่อนมี “บิ๊กทหาร”กดดันให้ “เสี่ยอี๊ด-สิทธิชัย”ลาออกมาแล้ว “เสธ.ต้อง”แจง “เสี่ยหนู”มาในรูปแบบบริษัท ทำมึนทั้งที่ใส่หมวก “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” ใบเบ้อเริ่ม ชัดกว่าบทบาทนักธุรกิจซะอีก แบบนี้คงไม่พ้นสยบยอม “ทอปบูต”แล้วแหงแซะ

กดปุ่มไฟเขียว .. ที่ประชุม ครม. ที่มี “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวโต๊ะ ให้ความเห็นชอบรายนามนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2561-2562 หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 61 จำนวน 284 คน .. หลักสูตรหนึ่งในใต้หล้า ที่ใครต่อใคร ข้าราชการ-นัการเมือง –เอกชน ใฝ่ฝันอยากได้เข้าเรียนกันทุกคน .. หาใช่จ้องจะมาตักตวงหาความรู้เท่าใดดอก แต่ขึ้นชื่อเรื่อง “ซูเปอร์คอนเนกชัน” เป็นที่ทางสร้างปฏิสัมพันธ์กับ “หัวแถว”ของสถาบัน หน่วยงาน และ วงการต่างๆ .. โดยเฉพาะมูฟเมนต์ ด้านการเมือง บ่อยครั้งที่ "วปอ.คอนเนกชั่น" เข้ามามีผลในการกำหนดทิศทาง ไม่ต้องใครอื่น ช่วงต้นยุค “ลุงตู่”ก็ใช้คอนเนกชัน “เพื่อน วปอ.50” ในการขยับโยกย้ายวางคนทำงาน ติดสอยได้มาเป็นรัฐมนตรี ก็มี .. มาถึงรุ่นล่าสุด “วปอ.61” ที่ “บิ๊กเนม”มาคับคั่งเช่นเคย ตั้งแต่ในส่วนของนายทหารใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็น “ดาวรุ่ง”เตรียมเข้าฮอสตำแหน่งหลักในอนาคตอันใกล้ .. ทั้ง “รองฯต่อ”พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ รองแม่ทัพภาค 1 หรือ “บิ๊กหนุ่ม”พล.ต.สนิธชนก สังขจันทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 .. “เสธ.เล็ก” พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 “เสธ.โต”พล.ต.สุขสรรค์ หนองบัวลาง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ .. และ “บิ๊กตั้ม”พล.ต.วรยุทธ์ แก้ววิบูลย์พันธุ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 11 เป็นต้น ที่ว่าๆไปเป็นมือไม้เรี่ยวแรงสำคัญของ คสช.ทั้งสิ้น ..
ในขณะที่ข้าราชการ-ภาคเอกชน ก็ระดับ “ดี-เด่น-ดัง”ทั้งนั้น ไล่เรียงไปคงไม่ถ้วนทั่ว .. แต่ที่ฮือฮาเป็นพิเศษ พร้อม “ข้อครหา”ก็คงรายของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่าน “ฝ่าไฟแดง”ครม.ลุงตู่ ไปหน้าตาเฉย .. เพราะก่อนหน้านี้ “ลุงตู่”เป็นผู้ระบุเองว่า จะไม่ให้นักการเมืองไปเรียนหลักสูตร วปอ. เพียงเพื่อหาคอนเนกชั่นกับข้าราชการ .. และเมื่อปีกลาย ก็มีข่าวเมาต์ กันสนั่นถึงกรณีของ “เสี่ยอี๊ด”สิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทย ที่เคยประกาศวางมือทางการเมือง สมัคร และได้รับอนุมัติเข้าร่วมเรียน วปอ.60 ปรากฏว่า มีกระแสกดดันจาก “บิ๊กทหาร”จนต้องลาออกมาแล้ว .. สะท้อนให้เห็นความรังเกียจของ “หลักสูตร วปอ.”ที่มีต่อ “นักการเมือง” อย่างชัดเจน และกรณีของ “เสี่ยหนู” ที่หมวกใบเป้ง “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย”ไม่เข้าข่ายหรือ .. ต้องบอกว่า “ฟังไม่ขึ้น”สำหรับ คำชี้แจงของ “เสธ.ต้อง”พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ที่บอกว่า “อนุทิน”เข้ามาในรูปแบบของ บริษัท ไม่ได้เขียนว่าเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องแยกแยะ .. จะบอกว่าที่ “เสี่ยหนู”เข้าไปเรียนได้ เพราะมีผลงานขนคนหลายหมื่น มาต้อนรับ “ลุงตู่”ที่บุรีรัมย์ และสยบยอมต่อ “ทอปบูต”แล้วยังน่าเชื่อซะกว่า.

ช.ชฎา

รูป
-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
-บ้านป่าแหว่ง - ธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ
- อนุทิน ชาญวีรกูล - พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์


กำลังโหลดความคิดเห็น