xs
xsm
sm
md
lg

ผิดหวังการตัดสินคดีลูก : เหตุให้พ่อโดดตึกตาย

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง


ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย มีขั้นตอนการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน ซึ่งกระจายอยู่ใน 3 หน่วยงานดังต่อไปนี้

1. รับแจ้งความจากผู้เสียหาย จากการถูกกระทำ และทำการสอบสวนเพื่อหาพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิด และนำตัวผู้ที่อยู่ในข่ายกระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย โดยส่งสำนวนคดีให้อัยการพิจารณาส่งฟ้องต่อศาล ขั้นตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

2. รับสำนวนคดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทำการพิจารณาเพื่อสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องต่อศาล ขั้นตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของอัยการซึ่งสังกัดสำนักงานอัยการ และขึ้นต่อกระทรวงยุติธรรม

3. พิจารณาสำนวนคดีซึ่งอัยการส่งฟ้อง และพิพากษาตัดสินลงโทษจำเลยหรือยกฟ้อง ขั้นตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของตุลาการซึ่งสังกัดสถาบันศาลยุติธรรม และขึ้นต่อกระทรวงยุติธรรม

โดยหลักการทางด้านกฎหมายของประเทศหรือหลักการแห่งนิติรัฐ พลเมืองของประเทศไทย หรือมิได้เป็นพลเมืองไทย แต่เข้ามากระทำผิดในประเทศไทย จะต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และทุกคนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าในฐานะโจทก์หรือในฐานะจำเลย จะได้รับความยุติธรรมทุกคนโดยเสมอภาค กล่าวคือ ในส่วนของจำเลย ถ้ากระทำผิดจริงจะต้องได้รับโทษ แต่ถ้ามิได้กระทำผิด ก็จะได้รับการปล่อยตัวไป

ในส่วนของโจทก์ ถ้าจำเลยถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงตามฟ้อง ถ้าเป็นคดีแพ่ง ก็จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าเป็นคดีอาญา จำเลยรับโทษทางอาญา ซึ่งมีทั้งโทษปรับ และโทษจำคุก

แต่ในความเป็นจริง ในอดีตที่ผ่านมา มีอยู่หลายคดีที่ความไม่ยุติธรรมได้เกิดขึ้น ทั้งในส่วนของจำเลย และในส่วนของโจทก์ ดังจะเห็นได้ในคดีดังต่อไปนี้

ในส่วนของจำเลย ความไม่ยุติธรรมส่วนใหญ่ได้เกิดขึ้นในขั้นรับแจ้งความ และทำการสอบสวนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเหตุแห่งความไม่ยุติธรรมมีตั้งแต่การยัดเยียดข้อหากับผู้บริสุทธิ์ให้กลายเป็นผู้ต้องหา ว่ากระทำผิดไปจนถึงจับผิดตัวแล้วทำการฟ้องร้องจนคดีถึงที่สุด ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นแพะรับบาป เช่น คดีฆาตกรรมนางสาวเชอรี่แอน ดันแคน ที่ผู้บริสุทธิ์ถูกจับกุมดำเนินการฟ้องร้อง และถูกศาลพิพากษาจำคุกอยู่หลายปี จนกระทั่งบางคนป่วยและตายในคุก

แต่ภายหลังมีการรื้อฟื้นคดีและฆาตกรตัวจริงถูกจับได้ และดำเนินการฟ้องจนในที่สุดถูกศาลพิพากษาจำคุก ผู้บริสุทธิ์ได้รับการปล่อยตัว และได้รับการเยียวยาจากทางราชการ เป็นต้น

ในส่วนของโจทก์ความไม่ยุติธรรมมักจะเกิดขึ้นในคดีที่จำเลยเป็นคนมีอิทธิพลทางการเมือง หรือมีอิทธิพลทางการเงิน แต่ฝ่ายโจทก์ไม่มีสถานะทางสังคม หรืออาจเรียกได้ว่าไม่มีเส้นสายไปสู้รบตบมือกับฝ่ายจำเลย จึงทำให้รูปคดีถูกบิดเบือน เนื่องจากมีอิทธิพลทางการเมือง หรือทางการเงินเข้าแทรกแซงทำให้โจทก์ไม่ได้รับความยุติธรรมเท่าที่ควรจะเป็น เช่น คดีจ่ายิ้ม ถูกยิงตายและคดีเงียบหายเนื่องจากจับคนยิงไม่ได้ และคดีที่ตำรวจถูกรถชนตาย และคนขับรถชนเป็นลูกชายของเศรษฐี และมีสถานะทางสังคมสูง ทำให้คดีไม่คืบหน้าเนื่องจากผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศ เป็นต้น

ล่าสุดมีคดีหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มว่าโจทก์อาจไม่ได้รับความยุติธรรมก็คือ คดีที่ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกรุมทำร้าย และถึงแก่ความตายเนื่องจากถูกแทง ในคดีนี้วัยรุ่น 2 คนตกเป็นผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาล แต่ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า จำเลยกระทำผิดจริง

หลังศาลได้พิพากษายกฟ้อง พ่อของผู้ตายได้กระโดดตึกศาลอาญาถึงแก่ความตาย กลายเป็นข่าวใหญ่ทางสื่อทุกแขนง เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

คดีนี้ก็มีแนวโน้มว่าโจทก์จะไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากผู้รับผิดชอบกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นไร้ประสิทธิภาพในการหาพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ และเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง

อันที่จริง ถ้าพิจารณาจากข่าวที่ปรากฏคดีนี้ก็มิได้สลับซับซ้อนจนเกินความสามารถของตำรวจไทย เมื่อเทียบกับคดีอื่นๆ ซึ่งมีความสลับซับซ้อนมากกว่านี้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังสอบสวนหาพยานหลักฐาน และจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษได้

ดังนั้น คดีนี้จึงน่าจะมีข้อบกพร่องผิดพลาดบางประการ ซึ่งเกิดจากการทำงานไร้ประสิทธิภาพ หรือไม่ก็มีอิทธิพลแฝงเร้น ทำให้พยานหลักฐานอ่อน ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยโดยอาศัยตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้

1. ถ้าฟังจากข่าว ปรากฏว่าในสถานที่เกิดเหตุมีคนอยู่ในเหตุการณ์หลายคน ดังนั้น จึงน่าจะมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดพอที่จะนำมาอ้างเป็นประจักษ์พยานได้มากกว่าหนึ่ง แต่ทำไมตำรวจหาได้เพียงหนึ่ง และหนึ่งนั้นก็ไม่ยอมมาให้ปากคำในศาลด้วย

2. เมื่อพยานบุคคลซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียว เจ็บป่วยมาให้ปากคำในศาลไม่ได้ ทำไมจึงไม่มีการขอให้ศาลเลื่อนการตัดสินออกไปจนกว่าพยานจะหายป่วย หรือหาพยาน

ดังนั้น โจทก์อย่าเพิ่งหมดใจ คดีนี้อาจพลิกผันและทำให้โจทก์ได้รับความยุติธรรมในชั้นอุทธรณ์ก็เป็นได้ ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

1. การที่ผู้เป็นพ่อของเหยื่อแห่งการฆาตกรรม ได้กระโดดตึกตาย น่าจะเป็นเหตุผลักดันให้ผู้ที่รับผิดชอบกระบวนการยุติธรรมระดับสูงมองเห็นความสำคัญ และลงมากำกับดูแลคดีนี้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ดังนั้น โอกาสที่จะหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมีความเป็นไปได้

2. การปล่อยให้คดีนี้จบลงด้วยการที่โจทก์ไม่ได้รับความยุติธรรม เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจคงจะดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้ก็คือผลของการไม่ปฏิรูปตำรวจ

สุดท้ายขอจบเรื่องนี้ด้วยคำพูดของนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ว่า “อย่าหุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว และตายประชดป่าช้า” เพราะเป็นการกระทำที่สูญเปล่าเนื่องจากหมา แมว และป่าช้าไม่เข้าใจการกระทำนั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น