คาดกันว่าในสัปดาห์หน้า คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาข้อเรียกร้องของสมาคมประมงพาณิชย์ในกรณีความพยายามในการแก้ไขปัญหา “ไอยูยู ฟิสชิ่ง” ซึ่งย่อมาจาก “Illegal Unreported and Unregulated Fishing” หรือ “การประมงที่ผิดกฎหมาย ไร้การรายงานและขาดการควบคุม” ผลกระทบของเรื่องนี้จะถึงคนไทยทุกคน ไม่ช้าก็เร็ว และประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปซึ่งเป็นผู้ซื้ออาหารทะเลจากประเทศไทยถึงปีละ 2-3 หมื่นล้านบาทได้ยื่น “ใบเหลือง” ให้ บทความนี้จะนำเสนอบางส่วนที่สำคัญซึ่งผมเชื่อว่ามีน้อยคนเท่านั้นที่ได้รับรู้ ตามผมมาครับ
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ที่หมู่บ้านชายทะเล อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ชายชราคนหนึ่งอายุในขณะนั้นประมาณ 80 ปีได้เล่าให้ผมฟังความว่า ครั้งหนึ่งในขณะที่ชาวบ้านกำลังช่วยปลดปลาจำนวนมากที่หามาได้ออกจากตาอวน ได้มีชายแปลกหน้าจากไหนก็ไม่ทราบ ได้พูดขึ้นว่า “อีกไม่นานทะเลจะเหลือแต่น้ำ เพราะเครื่องมือประมงแบบใหม่จากญี่ปุ่นจะจับปลาไปหมด”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อผืนอวนขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตร เรายังต้องตามคนทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันปลดปลาออกจากอวน แล้วทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ใครจะไปจับมันได้หมด” ชายชราคนนั้นเถียง
“มาถึงวันนี้ ทะเลบ้านเรามันหากินลำบากมาก จำนวนปลาลดลงมาก เป็นจริงอย่างที่ชายแปลกหน้าเตือนไว้ บางวันได้ไม่คุ้มค่าน้ำมัน” ชายชราสารภาพหลังจากได้ฟังคำเตือนประมาณ 40 ปี
หลังจากลำดับเหตุการณ์แล้ว พอประมาณได้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นพูดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500 กว่าๆ และคำว่า “เครื่องประมงแบบใหม่จากญี่ปุ่น” น่าจะหมายถึงเครื่องมือที่คิดค้นโดยชาวเยอรมันซึ่งเริ่มขึ้นในโลกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2496และน่าจะหมายถึงเรืออวนลากเป็นสำคัญ
เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของชายแปลกหน้าผู้มีสายตายาวไกล ผมจะนำผลงานวิจัยของกรมประมงมานำเสนอในที่นี้ โดยผมมีแหล่งอ้างอิงและผลการวิจัยที่สำคัญบางส่วนอยู่ในภาพข้างล่างนี้ครับ

งานวิจัยดังกล่าวได้ดำเนินการในปี 2549 ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน จำนวน 11 สถานีๆ ละ 15 X 15 ตารางไมล์ทะเล โดยมีตาอวนก้นถุงขนาด 4 เซนติเมตร แต่ได้ตีพิมพ์ในวารสารของกรมประมงเมื่อปี 2552 หัวข้อวิจัยชื่อว่า “ทรัพยากรประมงบริเวณอ่าวไทยตอนบนจากเรือสำรวจ ปี 2549”
วิธีการวิจัย เขาใช้วิธีการลากอวนด้วยเรืออวนลากแผ่นตะเฆ่ (ดูภาพที่ 2) เพื่อนำมาคำนวณหาปริมาณสัตว์น้ำที่ได้ต่อหนึ่งชั่วโมงของการทำประมง แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปเปรียบเทียบกับผลงานวิจัยที่ได้ทำไว้ในอดีต
ผลงานวิจัยดังกล่าวระบุว่า เรืออวนลากได้เข้ามาทดลองใช้ในประเทศไทยในปี 2504 และพบว่า “อวนลากแผ่นตะเฆ่มีประสิทธิภาพการจับสัตว์น้ำสูงสุด กรมประมงและคณะผู้เชี่ยวชาวเยอรมันจึงได้ทำการส่งเสริมด้วยการสาธิตการใช้เครื่องมือ เพื่อให้ชาวประมงรู้จักและนำปลาหน้าดินมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ส่งผลให้การประมงอวนลากขยายตัวเพิ่มขึ้น ทรัพยากรสัตว์น้ำหน้าดินถูกนำมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”
จากเอกสารผลงานวิจัยดังกล่าว ผมได้นำมาสรุปผลการจับทรัพยากรสัตว์น้ำต่อหนึ่งชั่วโมงของการลงแรงทำงานไว้ในตารางของภาพแรกครับคือ ในปี 2506 ถ้าลากอวน (ที่มีขนาดเท่ากัน) ในหนึ่งชั่วโมงจะได้สัตว์น้ำเฉลี่ย 256 กิโลกรัม จากนั้นจำนวนสัตว์น้ำที่ได้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น ในปี 2514 ได้เพียง 66 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 26% ของปริมาณที่ได้ในปี 2506
และในปี 2549 ได้เพียง 14 กิโลกรัม หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 5 ของปริมาณที่เคยได้ในปี 2506
ซึ่งสอดคล้องกันอย่างมากกับคำเตือนของชายแปลกหน้านิรนาม
ผมพยายามค้นหาผลงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันกับปี 2549 (หรือ 12 ปีมาแล้ว) แต่ก็ไม่พบอีกเลยครับ หัวข้องานวิจัยที่พบมักจะเป็นงานเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง เช่น ผลของการให้วิตามินต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำบางชนิด ไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลที่เป็นภาพรวมซึ่งเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ใหญ่และดีที่สุดของมนุษยชาติ
อ้อ ก่อนจะลืม กรุณาดูลักษณะการทำงานของเรืออวนลากและผลกระทบต่อปะการังซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ

สังเกตนะครับว่าการลากอวนซึ่งมีแผ่นตะเฆ่ที่มีน้ำหนักมากติดพื้นทะเลเป็นการทำลายปะการังซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำจำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของกรมประมง แต่องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ท้องทะเลบางองค์กรได้เรียกแผ่นตะเฆ่ของเรืออวนลากว่า “แทรกเตอร์ทะเล”
อย่างไรก็ตาม ผลงานวิจัยชิ้นเดียวกันนี้ได้จำแนกประเภทของสัตว์น้ำพบว่า ร้อยละ 46 ของสัตว์น้ำที่จับได้เป็นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ที่หน้าดิน เมื่อปะการังซึ่งเป็นบ้านของพวกมันถูกทำลายก็คงจะเหมือนกับคนนั่นแหละนะ!

คำว่า “ปลาเป็ด” หมายถึง ปลาที่จับขึ้นมาแล้วบริโภคไม่ได้ เช่น หัวแตก ท้องแตก ไม่สด หรือคนไม่นิยมกิน เป็นต้น จึงนิยมนำไปเป็นอาหารของเป็ด แต่คำว่า “ปลาเป็ดแท้” (ซึ่งไม่มีนิยามในเอกสารวิจัยชิ้นนี้) ผมเข้าใจน่าจะหมายถึง ปลาตัวเล็กโดยธรรมชาติที่โตเต็มวัยแล้ว แต่คนไม่กิน จึงนำไปทำปลาป่น
งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะค้นหาว่า นอกเหนือจากปลาเป็ดแท้ ซึ่งมีอยู่ถึง 87% นั้น ประกอบด้วยสัตว์น้ำเศรษฐกิจแต่ยังไม่โตพอที่คนจะนำไปบริโภคโดยตรง เช่น ลูกปลาทูและลูกปู เป็นต้น ซึ่งในที่สุดก็จะถูกคัดไปขายเป็นปลาเป็ดอยู่ดีว่ามีสัดส่วนร้อยละเท่าใด
และถ้าลูกปลาทู ลูกปูเหล่านี้โตขึ้นแล้วจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่าใด คิดเป็นมูลค่าเท่าใดเช่น ลูกปลาทูขนาด 1,000 ตัวต่อกิโลกรัม ต้องขายไปในราคาปลาเป็ดกิโลกรัมละ 10 บาท (สมมติ) ถ้าลูกปลาจำนวนนี้ไม่ถูกจับเสียก่อน ถ้าสามารถโตเป็นผู้ใหญ่ได้สัก 20% หรือจำนวน 200 ตัว ขนาด 10 ตัวต่อกิโลกรัมๆ ละ 100 บาท ก็จะมีมูลค่าถึง 2,000 บาท นั่นคือมีมูลค่าเป็นเงินเพิ่มขึ้นถึง 200 เท่าตัว
และเป็นอาหารคุณภาพดีให้กับคนไทยจำนวนมาก
โดยสรุป ผลงานวิจัยของกรมประมงชิ้นนี้ได้ตอบคำถาม 2 ข้อ ทั้งๆ ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้เพียงข้อเดียว คือ
หนึ่ง ทรัพยากรสัตว์น้ำในอ่าวไทยตอนบน (และสามารถอธิบายถึงบริเวณอื่น ๆ ได้ด้วย) กำลังจะเหลือแต่น้ำ ตามชายแปลกหน้านิรนามได้พยากรณ์ไว้เมื่อเกือบ 60 ปีมาแล้ว
สอง เรืออวนลากแบบตะเฆ่ ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์หน้าดินซึ่งมีประมาณ 46% ของปริมาณปลาทั้งหมด
ขณะนี้ ทางรัฐบาลไทยกำลังแก้ปัญหา “ใบเหลือง” ด้วยการจะรับซื้อเรืออวนลากจำนวนประมาณ 715 ลำ ด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินประมาณ 3.5 พันล้านบาท โดยอ้างว่าอารยประเทศก็ทำเช่นเดียวกัน
คำเตือนของชายแปลกหน้าคนดังกล่าว ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเทศ Guinea ในทวีปแอฟริกาก็กำลังเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน (ดูภาพ)

ผมเองยังไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมากนัก แต่เมื่อได้เปิดพระราชกำหนดการประมง 2558 ก็พบว่า ไม่ได้ระบุไว้แม้แต่น้อยว่า เรือประมงแบบอวนลากชนิดที่ติดที่ลากติดพื้น (Bottom Trawler) เป็นเรือที่ผิดกฎหมาย
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร รัฐบาลจะต้องรับซื้อเรือที่ “ทำผิดกฎของธรรมชาติ” แต่ไม่ผิดกฎหมายอยู่ตลอดไปหรือ
ผมทราบว่า ประเทศอินโดนีเซียได้ถือว่าเรืออวนลากเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อุปกรณ์ประมง เช่น ใครมีอวนเรืออวนลาก แม้ยังไม่ได้ลากก็ถือว่าผิดกฎหมายแล้ว แต่กฎหมายประมงเดิมของเราไม่ได้ถือเช่นนั้นครับ
ผมทราบว่าเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ทางการก็รับซื้อเรืออวนลากคืนเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่า ฮ่องกง มีคะแนนความโปร่งใสสูงถึงอันดับที่ 13 ของโลก หรือได้คะแนน 77 จาก 100 แต่ประเทศไทยเราความโปร่งใสอยู่ในอันดับที่ 96 จาก 190 ประเทศ ได้คะแนนเพียง 37 จาก 100 เท่านั้น
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมไทยจะมีความรู้สึกไม่ไว้วางใจในรัฐบาลของตนเอง
วันนี้ (2561) กรมประมงได้เสนอรับซื้อเรืออวนลากจำนวน 715 ลำ คิดเป็นเงินประมาณ 3.5 พันล้านบาท แต่เมื่อประมาณปี 2555 กรมประมงเดียวกันนี้ได้เสนอที่จะออกอาชญาบัตร (หรือนิรโทษกรรม) ให้กับเรืออวนลากจำนวน 2,107 ลำ โดยอ้างเหตุผลทางวิชาการว่าทะเลไทยมีศักยภาพที่จะรองรับเรืออวนลากได้อีก
ผมจำเรื่องนี้ได้ดีเพราะในขณะนั้นผมได้เป็นอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ) ที่รับเรื่องร้องเรียนเรื่องนี้ แต่มาวันนี้ทำไมเรื่องมันเปลี่ยนแปลงเร็วจัง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมักจะท่องคาถาให้คนไทยฟังอยู่บ่อยๆ ว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แต่คำว่า “ยั่งยืน” ที่หน่วยงานราชการไทยนำมาใช้หมายถึง “รูปแบบของการพัฒนาที่สนองความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบันโดยไม่ทำให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้องประนีประนอมยอมลดทอนความสามารถในการที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง”
แล้วการไม่เหลือทรัพยากรสัตว์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้บริโภค มันเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนตรงไหนครับท่าน
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ที่หมู่บ้านชายทะเล อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ชายชราคนหนึ่งอายุในขณะนั้นประมาณ 80 ปีได้เล่าให้ผมฟังความว่า ครั้งหนึ่งในขณะที่ชาวบ้านกำลังช่วยปลดปลาจำนวนมากที่หามาได้ออกจากตาอวน ได้มีชายแปลกหน้าจากไหนก็ไม่ทราบ ได้พูดขึ้นว่า “อีกไม่นานทะเลจะเหลือแต่น้ำ เพราะเครื่องมือประมงแบบใหม่จากญี่ปุ่นจะจับปลาไปหมด”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อผืนอวนขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตร เรายังต้องตามคนทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันปลดปลาออกจากอวน แล้วทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ใครจะไปจับมันได้หมด” ชายชราคนนั้นเถียง
“มาถึงวันนี้ ทะเลบ้านเรามันหากินลำบากมาก จำนวนปลาลดลงมาก เป็นจริงอย่างที่ชายแปลกหน้าเตือนไว้ บางวันได้ไม่คุ้มค่าน้ำมัน” ชายชราสารภาพหลังจากได้ฟังคำเตือนประมาณ 40 ปี
หลังจากลำดับเหตุการณ์แล้ว พอประมาณได้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นพูดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500 กว่าๆ และคำว่า “เครื่องประมงแบบใหม่จากญี่ปุ่น” น่าจะหมายถึงเครื่องมือที่คิดค้นโดยชาวเยอรมันซึ่งเริ่มขึ้นในโลกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2496และน่าจะหมายถึงเรืออวนลากเป็นสำคัญ
เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของชายแปลกหน้าผู้มีสายตายาวไกล ผมจะนำผลงานวิจัยของกรมประมงมานำเสนอในที่นี้ โดยผมมีแหล่งอ้างอิงและผลการวิจัยที่สำคัญบางส่วนอยู่ในภาพข้างล่างนี้ครับ
งานวิจัยดังกล่าวได้ดำเนินการในปี 2549 ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน จำนวน 11 สถานีๆ ละ 15 X 15 ตารางไมล์ทะเล โดยมีตาอวนก้นถุงขนาด 4 เซนติเมตร แต่ได้ตีพิมพ์ในวารสารของกรมประมงเมื่อปี 2552 หัวข้อวิจัยชื่อว่า “ทรัพยากรประมงบริเวณอ่าวไทยตอนบนจากเรือสำรวจ ปี 2549”
วิธีการวิจัย เขาใช้วิธีการลากอวนด้วยเรืออวนลากแผ่นตะเฆ่ (ดูภาพที่ 2) เพื่อนำมาคำนวณหาปริมาณสัตว์น้ำที่ได้ต่อหนึ่งชั่วโมงของการทำประมง แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปเปรียบเทียบกับผลงานวิจัยที่ได้ทำไว้ในอดีต
ผลงานวิจัยดังกล่าวระบุว่า เรืออวนลากได้เข้ามาทดลองใช้ในประเทศไทยในปี 2504 และพบว่า “อวนลากแผ่นตะเฆ่มีประสิทธิภาพการจับสัตว์น้ำสูงสุด กรมประมงและคณะผู้เชี่ยวชาวเยอรมันจึงได้ทำการส่งเสริมด้วยการสาธิตการใช้เครื่องมือ เพื่อให้ชาวประมงรู้จักและนำปลาหน้าดินมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ส่งผลให้การประมงอวนลากขยายตัวเพิ่มขึ้น ทรัพยากรสัตว์น้ำหน้าดินถูกนำมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”
จากเอกสารผลงานวิจัยดังกล่าว ผมได้นำมาสรุปผลการจับทรัพยากรสัตว์น้ำต่อหนึ่งชั่วโมงของการลงแรงทำงานไว้ในตารางของภาพแรกครับคือ ในปี 2506 ถ้าลากอวน (ที่มีขนาดเท่ากัน) ในหนึ่งชั่วโมงจะได้สัตว์น้ำเฉลี่ย 256 กิโลกรัม จากนั้นจำนวนสัตว์น้ำที่ได้ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น ในปี 2514 ได้เพียง 66 กิโลกรัม หรือคิดเป็น 26% ของปริมาณที่ได้ในปี 2506
และในปี 2549 ได้เพียง 14 กิโลกรัม หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 5 ของปริมาณที่เคยได้ในปี 2506
ซึ่งสอดคล้องกันอย่างมากกับคำเตือนของชายแปลกหน้านิรนาม
ผมพยายามค้นหาผลงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันกับปี 2549 (หรือ 12 ปีมาแล้ว) แต่ก็ไม่พบอีกเลยครับ หัวข้องานวิจัยที่พบมักจะเป็นงานเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยง เช่น ผลของการให้วิตามินต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำบางชนิด ไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลที่เป็นภาพรวมซึ่งเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ใหญ่และดีที่สุดของมนุษยชาติ
อ้อ ก่อนจะลืม กรุณาดูลักษณะการทำงานของเรืออวนลากและผลกระทบต่อปะการังซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ
สังเกตนะครับว่าการลากอวนซึ่งมีแผ่นตะเฆ่ที่มีน้ำหนักมากติดพื้นทะเลเป็นการทำลายปะการังซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำจำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของกรมประมง แต่องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ท้องทะเลบางองค์กรได้เรียกแผ่นตะเฆ่ของเรืออวนลากว่า “แทรกเตอร์ทะเล”
อย่างไรก็ตาม ผลงานวิจัยชิ้นเดียวกันนี้ได้จำแนกประเภทของสัตว์น้ำพบว่า ร้อยละ 46 ของสัตว์น้ำที่จับได้เป็นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ที่หน้าดิน เมื่อปะการังซึ่งเป็นบ้านของพวกมันถูกทำลายก็คงจะเหมือนกับคนนั่นแหละนะ!
คำว่า “ปลาเป็ด” หมายถึง ปลาที่จับขึ้นมาแล้วบริโภคไม่ได้ เช่น หัวแตก ท้องแตก ไม่สด หรือคนไม่นิยมกิน เป็นต้น จึงนิยมนำไปเป็นอาหารของเป็ด แต่คำว่า “ปลาเป็ดแท้” (ซึ่งไม่มีนิยามในเอกสารวิจัยชิ้นนี้) ผมเข้าใจน่าจะหมายถึง ปลาตัวเล็กโดยธรรมชาติที่โตเต็มวัยแล้ว แต่คนไม่กิน จึงนำไปทำปลาป่น
งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะค้นหาว่า นอกเหนือจากปลาเป็ดแท้ ซึ่งมีอยู่ถึง 87% นั้น ประกอบด้วยสัตว์น้ำเศรษฐกิจแต่ยังไม่โตพอที่คนจะนำไปบริโภคโดยตรง เช่น ลูกปลาทูและลูกปู เป็นต้น ซึ่งในที่สุดก็จะถูกคัดไปขายเป็นปลาเป็ดอยู่ดีว่ามีสัดส่วนร้อยละเท่าใด
และถ้าลูกปลาทู ลูกปูเหล่านี้โตขึ้นแล้วจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่าใด คิดเป็นมูลค่าเท่าใดเช่น ลูกปลาทูขนาด 1,000 ตัวต่อกิโลกรัม ต้องขายไปในราคาปลาเป็ดกิโลกรัมละ 10 บาท (สมมติ) ถ้าลูกปลาจำนวนนี้ไม่ถูกจับเสียก่อน ถ้าสามารถโตเป็นผู้ใหญ่ได้สัก 20% หรือจำนวน 200 ตัว ขนาด 10 ตัวต่อกิโลกรัมๆ ละ 100 บาท ก็จะมีมูลค่าถึง 2,000 บาท นั่นคือมีมูลค่าเป็นเงินเพิ่มขึ้นถึง 200 เท่าตัว
และเป็นอาหารคุณภาพดีให้กับคนไทยจำนวนมาก
โดยสรุป ผลงานวิจัยของกรมประมงชิ้นนี้ได้ตอบคำถาม 2 ข้อ ทั้งๆ ที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้เพียงข้อเดียว คือ
หนึ่ง ทรัพยากรสัตว์น้ำในอ่าวไทยตอนบน (และสามารถอธิบายถึงบริเวณอื่น ๆ ได้ด้วย) กำลังจะเหลือแต่น้ำ ตามชายแปลกหน้านิรนามได้พยากรณ์ไว้เมื่อเกือบ 60 ปีมาแล้ว
สอง เรืออวนลากแบบตะเฆ่ ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์หน้าดินซึ่งมีประมาณ 46% ของปริมาณปลาทั้งหมด
ขณะนี้ ทางรัฐบาลไทยกำลังแก้ปัญหา “ใบเหลือง” ด้วยการจะรับซื้อเรืออวนลากจำนวนประมาณ 715 ลำ ด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินประมาณ 3.5 พันล้านบาท โดยอ้างว่าอารยประเทศก็ทำเช่นเดียวกัน
คำเตือนของชายแปลกหน้าคนดังกล่าว ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเทศ Guinea ในทวีปแอฟริกาก็กำลังเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน (ดูภาพ)
ผมเองยังไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมากนัก แต่เมื่อได้เปิดพระราชกำหนดการประมง 2558 ก็พบว่า ไม่ได้ระบุไว้แม้แต่น้อยว่า เรือประมงแบบอวนลากชนิดที่ติดที่ลากติดพื้น (Bottom Trawler) เป็นเรือที่ผิดกฎหมาย
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร รัฐบาลจะต้องรับซื้อเรือที่ “ทำผิดกฎของธรรมชาติ” แต่ไม่ผิดกฎหมายอยู่ตลอดไปหรือ
ผมทราบว่า ประเทศอินโดนีเซียได้ถือว่าเรืออวนลากเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อุปกรณ์ประมง เช่น ใครมีอวนเรืออวนลาก แม้ยังไม่ได้ลากก็ถือว่าผิดกฎหมายแล้ว แต่กฎหมายประมงเดิมของเราไม่ได้ถือเช่นนั้นครับ
ผมทราบว่าเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ทางการก็รับซื้อเรืออวนลากคืนเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่า ฮ่องกง มีคะแนนความโปร่งใสสูงถึงอันดับที่ 13 ของโลก หรือได้คะแนน 77 จาก 100 แต่ประเทศไทยเราความโปร่งใสอยู่ในอันดับที่ 96 จาก 190 ประเทศ ได้คะแนนเพียง 37 จาก 100 เท่านั้น
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมไทยจะมีความรู้สึกไม่ไว้วางใจในรัฐบาลของตนเอง
วันนี้ (2561) กรมประมงได้เสนอรับซื้อเรืออวนลากจำนวน 715 ลำ คิดเป็นเงินประมาณ 3.5 พันล้านบาท แต่เมื่อประมาณปี 2555 กรมประมงเดียวกันนี้ได้เสนอที่จะออกอาชญาบัตร (หรือนิรโทษกรรม) ให้กับเรืออวนลากจำนวน 2,107 ลำ โดยอ้างเหตุผลทางวิชาการว่าทะเลไทยมีศักยภาพที่จะรองรับเรืออวนลากได้อีก
ผมจำเรื่องนี้ได้ดีเพราะในขณะนั้นผมได้เป็นอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ชุดนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ) ที่รับเรื่องร้องเรียนเรื่องนี้ แต่มาวันนี้ทำไมเรื่องมันเปลี่ยนแปลงเร็วจัง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมักจะท่องคาถาให้คนไทยฟังอยู่บ่อยๆ ว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แต่คำว่า “ยั่งยืน” ที่หน่วยงานราชการไทยนำมาใช้หมายถึง “รูปแบบของการพัฒนาที่สนองความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบันโดยไม่ทำให้คนรุ่นต่อไปในอนาคตต้องประนีประนอมยอมลดทอนความสามารถในการที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง”
แล้วการไม่เหลือทรัพยากรสัตว์ไว้ให้คนรุ่นหลังได้บริโภค มันเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนตรงไหนครับท่าน