คดีฆ่าอำพรางนางสาวนรีกานต์ ยาวิราชหรือน้องหญิงวัย 19 ปี ทำให้ตำรวจ 3 โรงพักรวม 10 นาย ถูกคำสั่งย้ายด่วน และตั้งกรรมการสอบสวนความผิดต่างกรรมต่างวาระ จนดูเหมือนว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เอาจริงกับตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างหละหลวมหรือบกพร่อง ปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล
ทุกครั้งที่มีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับพฤติกรรมตำรวจ และเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน จะมีคำสั่งย้ายด่วน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิด แต่เมื่อเรื่องเงียบ ตำรวจมักได้กลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม โดยผลสอบสวนไม่พบความผิดใดๆ
การย้ายตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจระดับผู้กำกับการเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้กำกับการแต่ละสถานีตำรวจมีต้นทุนสูง ไม่ได้ขึ้นมาเป็นกันง่าย แม้ถูกย้าย แต่ย้ายกันพอเป็นพิธีเพื่อลดกระแสโจมตี แต่ไม่กี่วันก็ย้ายกลับมาใหม่
ตำรวจ 10 นาย จาก 3 ท้องที่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ถูกคำสั่งย้าย สังคมไม่ได้ตั้งความคาดหวังว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะลงโทษอย่างจริงจัง เพียงแต่เฝ้าดูว่า อีกกี่วันจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิมเท่านั้น
คดีน้องหญิงแทบไม่แตกต่างจากคดีน้องกิ๊ฟซึ่งถูก 4 วัยรุ่นอุ้มไปข่มขืนจนเสียชีวิต เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่จังหวัดจันทบุรีเท่าไหร่นัก
เหยื่ออาชญากรรมทั้งคู่เข้าไปเที่ยวในสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา โดยผับที่น้องกิ๊ฟไปเที่ยวช่วงเวลาตี 2 ยังไม่ปิดให้บริการ และแม้จะเกิดคดีใหญ่ แต่ตำรวจในพื้นที่กลับไม่ถูกพูดถึง ไม่มีคำสั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด
ส่วนสถานบันเทิงที่น้องหญิงไปเที่ยวเปิดเกินเวลาเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากเป็นข่าวใหญ่ และสังคมตั้งคำถาม ผู้กำกับการ สน.พระอินทร์ราชาและลูกน้องรวม 4 คนจึงถูกคำสั่งย้าย และตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิด ฐานให้สถานบันเทิงในพื้นที่ความรับผิดชอบเปิดเกินเวลา
สถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลามีอยู่ทั่วประเทศ แม้จะถูกฝ่ายปกครอง ถูกทหารทลายแล้วนับไม่ถ้วน โดยบางแห่งมีโพยรายชื่อตำรวจหน่วยงานต่างๆ รับส่วย แต่ไม่เคยมีตำรวจรายใดถูกลงโทษ อย่างดีก็ถูกย้าย ไม่กี่วันก็กลับมารับตำแหน่งเดิม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะตั้งกรรมการสอบสวนกี่สิบกี่ร้อยชุด ก็ไม่เคยพบความผิดตำรวจรายใด ไม่เคยมีตำรวจหน่วยงานไหนที่ถูกไล่ออกเพราะรับส่วยสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา
ทั้งที่สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา เป็นแหล่งมั่วสุม เป็นแหล่งมอมเมาให้เยาวชนเสียคน เป็นแหล่งค้ายาเสพติด เป็นที่ซ่องสุมของอันธพาลคุมสถานบันเทิง เป็นสถานที่อโคจร เป็นแหล่งสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ประชาชนในพื้นที่ และเป็นต้นเหตุของคดีอาชญากรรมร้ายแรงนับไม่ถ้วน ไม่ว่าการทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นสังหารกัน
น้องหญิงวัย 19 ปีและน้องกิ๊ฟวัย 21 ปี ต้องเซ่นสังเวยชีวิต โดยจุดเริ่มต้นเหตุการณ์เกิดจากสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา
เป็นไปไม่ได้ที่สถานบันเทิงจะเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยที่ตำรวจในแต่ละพื้นที่ไม่รู้เห็นเป็นใจ เพราะสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา ไม่ได้เปิดบริการเพียงวันเดียว แต่เปิดอย่างผิดกฎหมายอย่างโจ๋งครึ่มเป็นเดือนเป็นปี โดยจ่ายส่วยให้ตำรวจ
แม้จะมีการตีแผ่ แม้จะถูกเปิดโปงปัญหาส่วย แม้จะถูกประจาน โดยฝ่ายปกครองและทหารร่วมกันบุกจับสถานบันเทิงเปิดเกินเวลา แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยแก้ปัญหาส่วยสถานบันเทิงเปิดเกินเวลาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แม้จะมีคดีอาชญากรรมร้ายแรงจากสถานบันเทิงนับไม่ถ้วน แม้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจะร้องเรียนมาตลอดก็ตาม
จะหวังพึ่งรัฐบาลทหารหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงมาแก้ปัญหาสถานบันเทิงเปิดเกินเวลาก็ไม่ได้ เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา มีคดีสถานบันเทิงเปิดเกินเวลามากมาย รวมทั้งสถานบันเทิงใกล้สถานการศึกษา
แต่ไม่มีใครได้เคยเห็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความขึงขังสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ปัญหาสถานบันเทิงอย่างจริงจังเด็ดขาดสักครั้ง
“น้องหญิง” คงไม่ใช่ศพสุดท้ายที่จะต้องเซ่นสถานบันเทิงที่เปิดเกินเวลา และไม่ใช่หญิงสาวตัวเล็กคนเดียวที่ตกเป็นเหยื่อ สังเวยตำรวจรับส่วย
ตำรวจ สน.พระอินทร์ราชาที่ถูกย้ายด่วน เพราะปล่อยให้สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา สุดท้ายคงอยู่รอดปลอดภัยเหมือนตำรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศที่ปล่อยให้สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา
อีกไม่กี่วันตำรวจ 10 นายใน 3 โรงพักพื้นที่เกิดเหตุฆาตกรรมอำพรางน้องหญิงที่ถูกสั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบสวนความผิด คงมารับตำแหน่งเดิม ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ กับการเสียชีวิตเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ของ “น้องหญิง”
“ส่วย” สถานบันเทิงเปิดเกินเวลา จนเป็นแหล่งบ่มเพาะคดีอาชญากรรมร้ายแรง คงดำรงอยู่คู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป โดยไม่มีผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดใดสนใจแก้ปัญหา
แม้แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่ปล่อยให้ปัญหา “ส่วย” ดำรงอยู่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่สังคมกำลังวินาศสันตะโรเพราะตำรวจรับส่วย