xs
xsm
sm
md
lg

อิหร่านกับการ “Make Love Not War”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


วันนี้...คงต้องแวบไปดูประเทศอิหร่านเค้าไว้ซักหน่อย เพราะไม่เพียงแต่อีกไม่กี่วันนับจากนี้ (4 ส.ค.) ก็จะได้เวลาที่มาตรการแซงชั่นขั้นสูงสุดของคุณพ่ออเมริกาจะมีผลบังคับใช้ หลังๆ นี้...ยังมี “สงครามปาก” ระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับใครต่อใครในอิหร่าน ชนิดหนักหน่วงรุนแรงไม่น้อยกว่าครั้งที่ผู้นำอเมริกากับเกาหลีเหนือ สาด “สากกะเบือบิน” ใส่กันวันละดอก-สองดอก ก่อนที่จะหันมา “จูบปาก” กันที่สิงคโปร์ แบบชนิดไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ อะไรประมาณนั้น...

และโดยสีสันบรรยากาศ กรณีอิหร่านกับเกาหลีเหนือ...ก็ออกจะมีอะไรที่คล้ายๆ กันอยู่ไม่น้อย จนเผลอๆ...อาจมี “มุมจบ” ไม่ต่างอะไรไปจากกัน คือแทนที่จะออกไปทาง “บ้า...ก็...บ้าวะ” งัดอาวุธ งัดจรวด ส่งเครื่องบินไปถล่มใส่กันและกันตามลักษณะอาการของการข่มขู่คุกคาม การเห่าใส่กันและกัน สุดท้าย...มันอาจจบกันแบบ “แฮปปี้เอนดิ้ง” เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะเมื่อมี “ข่าวล่า-มาเรือ” ครั้งล่าสุด ว่าจู่ๆ “ทรัมป์บ้า” ดันออกมาบอกว่า พร้อมพบปะเจรจากับผู้นำอิหร่าน ประธานาธิบดี “ฮัสซัน โรฮานี” อย่างชนิดไม่มีเงื่อนใดๆ เอาไว้ล่วงหน้า หรือแบบ... “ทุกเวลา ทุกสถานที่ที่เขาต้องการจะเจอผม ผมก็พร้อมที่จะเจอเขา...”

ทั้งที่ก่อนหน้านั้น...โดยสีสันบรรยากาศ มันออกไปทางน่าขนลุกขนพองมิใช่น้อย ไม่ว่ากรณีสำนักข่าว “ABC” ของออสเตรเลียออกมาปูดข่าว หรือ “เต้าข่าว” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลออสเตรเลีย ว่ารัฐบาลกำลังคิดร่วมมือกับอเมริกา ในการเปิดศึกถล่มโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่าน ในเดือนนี้ เดือนหน้า (สิงหาคม) จับเอาการพบปะระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กับรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ที่แคลิฟอร์เนีย อันเป็นการพบปะประจำปีตามปกติ มายึดโยง เสกสรรปั้นแต่งให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต ไปจนได้...

แต่ก็ยังดี...ที่ตัวรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เอง “นายเจมส์ แมตทิส” แม้จะมีฉายาว่า “หมาบ้า” ก็ตามที แต่ก็ไม่ได้คิดจะบ้าตามไปด้วย ได้ออกยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าข่าวของ “ABC” ทั้งกะบิ ถือเป็น “นิยายทั้งแท่ง” ไม่ได้มีข้อมูล ข้อเท็จจริง ติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้น...ความเคลื่อนไหวในบางลักษณะของสหรัฐฯ เช่น ความพยายามที่จะเสนอให้มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรทางทหารในตะวันออกกลาง ที่เรียกๆ กันว่า “MESA” หรือ “Middle East Strategic Alliance” ในลักษณะไม่ต่างอะไรไปจาก “Arab NATO” อะไรประมาณนั้น ด้วยการระดมพันธมิตรอย่างซาอุดีอาระเบียและประเทศอ่าว 6 ประเทศ บวกอียิปต์และจอร์แดนเข้าไปด้วย เพื่อร่วมมือต่อต้าน “ภัยคุกคามจากอิหร่าน” กันโดยเฉพาะ ถ้ามองในแง่น่าขนลุกขนพอง ก็พอจะมองได้ แต่ความเคลื่อนไหวที่ว่านี้ ก็น่าจะไม่ต่างอะไรไปจากครั้งที่อเมริกาโดยความร่วมมือของแคนาดา คิดจะจัดตั้ง “กลุ่มประเทศพันธมิตรทางทหาร” เพื่อกดดันเกาหลีเหนือ ในช่วงระหว่างการแซงชั่น “คิมน้อย” นั่นเอง...

คือเอาไป-เอามาแล้ว...มันน่าจะเป็นแค่ “ปาหี่” หรือเป็นการจัดฉาก จัดการแสดง เพื่อช่วยให้แรงกดดันจากมาตรการแซงชั่น ดูน่าเกลียด น่ากลัว น่าหวาดหวั่นขวัญสยอง จนฝ่ายตรงข้ามอาจต้องครั่นเนื้อ ครั่นตัว ไหวหวั่นสั่นสะท้านอยู่บ้าง แต่คงไม่ได้ถึงกับนำไปสู่ภาคการปฏิบัติแบบจริงๆ-จังๆ โดยเฉพาะในช่วงที่บรรดา “พันธมิตร” ของสหรัฐฯ แต่ละราย ชักเริ่มหันมาเปลี่ยนใจ ถอดใจกันไปเป็นรายๆ ไม่ก็ทรุดโทรม เสื่อมโทรม เพราะปัญหาภายในของตัวเอง อย่างซาอุฯ นั้น...แค่ “แก้ปัญหาตัวเอง” ก็ยังแก้แทบไม่ได้ บรรดาพันธมิตรที่เคยร่วมบุกร่วมเล่นงานประเทศเล็กๆ อย่างเยเมนทุกวันนี้...ก็ถอนตัวออกไปทีละราย สองราย อย่างมาเลเซีย ยุค “มหาเธร์” เป็นต้น นั่นยังไม่รวมถึงกาตาร์ที่ต้องหันมากัดกันเอง จนเป็นแผลเหวอะหวะ รักษาไม่หายตราบเท่าทุกวันนี้ สิ่งที่เรียกว่า “Arab NATO” มันจึงหนักไปทาง “ปฏิบัติการจิตวิทยา” ในอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนจะช่วยให้อิหร่านเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาบ้างหรือไม่ อันนั้น...ก็น่าจะขึ้นอยู่กับปัญหาภายในของอิหร่าน ซึ่งน่าจะเป็น “ปัญหาเศรษฐกิจ” นั่นแหละมากกว่า ไม่ใช่ “ปัญหาทางการทหาร” ที่อิหร่านยุคนี้ ไปไกลกว่ายุคที่เคยสู้กับ “ซัดดัม ฮุสเซน” ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า...

เพราะถ้าดูจากการปรับรูป ปรับกระบวนท่าของอิหร่านในการรับมือกับ “มาตรการแซงชั่นขั้นสูงสุด” ของสหรัฐฯ คราวนี้ ก็น่าจะมีจุดเน้นหนักอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจของอิหร่านนั่นแหละเป็นสำคัญ จะทำอย่างไรกับภาวะเงินเฟ้อที่มันพุ่งปรู๊ดปร๊าดไปกระทบหลังคาบ้าน หลังคาสุเหร่าในแทบทุกหลัง แทบทุกๆ จุด จนนำไปสู่การเอะอะโวยวาย การประท้วงของบรรดาพวกพ่อค้าขึ้นมาบ้างแล้ว แม้จะเป็นเพียงประๆ ปรายๆ หรือพอจะ “เอาอยู่” ก็ตาม แต่ถึงขั้นที่ต้องหันมาเริ่มต้น “กระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจ” ภายในประเทศแบบจริงๆ จังๆ ไม่ว่าทั้งในภาวะที่โดนแซงชั่น หรือไม่โดนแซงชั่นกันแล้วแต่ ต้องเร่งประดิษฐ์คิดค้น กฎ ระเบียบ สำหรับการสร้างสกุลเงินตราดิจิตอล ขึ้นมาโดยไว ถึงขั้นเลขานุการสภาสูงอิหร่าน “นายAbolhassan Firouzabadi” ต้องออกมาป่าวประกาศว่า อิหร่านกำลังตระเตรียมนำเอาเงิน “cryptocurrency” มาใช้อย่างเป็นทางการ ในการประกอบธุรกรรมทางเศรษฐกิจกับบรรดามิตรประเทศภายในอนาคตอันใกล้...ฯลฯ...

และที่สำคัญที่สุดก็คือ...การแสวงหา “หลักประกัน” ทางเศรษฐกิจและการลงทุน จากบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย ที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้สั่งซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ยังเป็นผู้เข้าไปลงทุนในกิจการต่างๆ ทั้งระดับใหญ่ ระดับกลาง จนทำให้กระบวนการความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจเหล่านี้ มีผลต่อการพลิกคว่ำ-พลิกหงายของภาวะเศรษฐกิจอิหร่านอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมเป็นต้นไป...

อย่างไรก็ตาม...การที่ “ทรัมป์บ้า” หันมาเปลี่ยนท่าที พร้อมที่จะพบปะเจรจากับผู้นำอิหร่านแบบไม่มีเงื่อนไขคราวนี้ แม้ว่าฝ่ายอิหร่านจะเคย “เหม็นหน้า” อเมริกา ถึงขั้นไม่คิดจะเจอหน้า เจอตา ไม่คิดจะพูดคุยใดๆ ด้วยเลย แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ายุโรปหรืออียูดันแปรสภาพไปเป็น “อีย้วย” หลังจากสามารถ “ปลดชนวนสงครามการค้า” กับ “ทรัมป์บ้า” ไปได้เมื่อไม่กี่วันมานี้ โอกาสที่บรรดาชาวโลกทั้งหลาย จะมีสิทธิ์ได้เห็น “ทรัมป์บ้า” จูบปากกับ “โรฮานี” เหมือนอย่างที่ได้เคยเห็น “ทรัมป์บ้า” จูบปากกับ “คิมน้อย” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย ซึ่งไม่ว่าใครจะได้เปรียบ-เสียเปรียบ ใครชนะ-ใครแพ้ ก็ตาม แต่อย่างน้อย...การหันมา “เมคเลิฟ นอท วอร์” หันมาจูบปาก แทนที่จะหันไปไล่เตะ ไล่ถีบ ซึ่งกันและกัน ย่อมต้องถือเป็นสิ่งดีต่อบรรดาชาวโลกทั้งหลายอยู่แล้วแน่ๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น