xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวดียุโรป...ข่าวร้ายอิหร่าน???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป , ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปเริ่มต้นตรวจสอบกันดูว่า “ข่าวดี” สำหรับเรื่องสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับยุโรป ที่ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป “นายฌอง-โคลด จุงเกอร์” และผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ทำท่าว่าคิดจะหันมา “จูบปาก” กันบ้างแล้ว หลังการพบปะเจรจาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (25 ก.ค.) ไปๆ-มาๆ...มันอาจกลายเป็น “ข่าวร้าย” สำหรับอิหร่านแบบ “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปเลยหรือไม่???

คืออย่างที่พอทราบๆ กันไปบ้างแล้วว่า...ผลการเจรจาระหว่างผู้นำอเมริกาและยุโรปตามที่สำนักข่าวต่างๆ ได้นำเสนอเอาไว้โดยคร่าวๆ ก็คงประมาณว่า...ไม่เพียงแต่อเมริกาพร้อมจะระงับการรีดภาษีนำเข้ารถยุโรป อย่างที่เคยทำท่าฮึดๆ ฮัดๆ เอาไว้ก่อนหน้านั้น ยังเตรียมจะหันไปทบทวนการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป อันถือเป็นจุดเริ่มต้นการไล่เตะ ไล่ถีบ ระหว่างมิตรกับมิตร ที่หวิดๆ กลายเป็นศัตรูยิ่งขึ้นทุกที ส่วนอียูนั้น...ก็พร้อมตอบแทนการรื้อฟื้นความเป็นมิตรของอเมริกา ด้วยการสั่งซื้อสินค้าถั่วเหลืองและแก๊ส ฯลฯ เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ จนทำให้การหันมาจูบปากกันใหม่คราวนี้ ถึงกับถูกสรุปว่าถือเป็น “การปลดชนวนการค้าระหว่างอเมริกาและยุโรป” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่นอกจากข้อตกลงที่สำนักข่าวแต่ละแห่งนำเสนอไปโดยคร่าวๆ แล้ว...มันยังมีอะไรที่ต้องแอบไปตกลงกัน “ใต้โต๊ะ” หรือไม่ อย่างไร อันนั้น...คงยากส์ส์ส์ที่จะไปเสือก ไปสอดรู้สอดเห็นได้ง่ายๆ เพราะระหว่างที่สองฝ่ายหันมาจูบปากกันนั้น ก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสอดคล้อง กลมกลืน ดูดดื่มประทับใจกันไปในทุกเรื่องทุกราว ก็หาไม่ โดยเฉพาะเรื่องของ “อิหร่าน” ที่สำหรับอียูนั้นคงต้องหาทางสวมกอดให้แน่นๆ เข้าไว้ ตามพันธสัญญาข้อตกลงร่วม “JCPOA” ที่ผูกพันตัวเองไว้กับรายละเอียดต่างๆ ในการค้า การลงทุน การประกอบธุรกรรมทางธุรกิจ การเงิน การธนาคาร ฯลฯ อย่างไม่อาจเบี้ยวคิว หรือไม่อาจหนีงานแต่งงานแบบ “เจ้าบ่าว” อย่าง “ไอ้ภาคิน” บ้านเราได้โดยเด็ดขาด ขณะที่อเมริกาซึ่งถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว กลับอยู่ในระหว่างต้องไล่เตะ ไล่ถีบ ไล่เช็ด ไล่บี้อิหร่าน ตามมาตรการ “แซงชั่นขั้นสูงสุดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์” ชนิดต้องหาทางทำให้การค้า หรือ “การส่งออกน้ำมัน” ของอิหร่าน มีมูลค่าเท่ากับ “ศูนย์” ให้จงได้...

อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจทำให้ “ข่าวดี” ของอียู กลายเป็น “ข่าวร้าย” ของอิหร่านเอาง่ายๆ เพราะการบังคับใช้มาตรการแซงชั่นขั้นสูงสุดของอเมริกา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมเป็นต้นไป อันส่งผลให้อิหร่านเลยต้องนำไปใช้เป็น “เส้นตาย”ในการขอคำตอบจากอียู ว่าจะให้ “หลักประกัน” ใดๆ เพื่อให้การดำรงรักษาข้อตกลง “JCPOA” เป็นไปตามพันธสัญญาที่ต่างฝ่ายต่างเคยลงนามเอาไว้ด้วยกันหรือไม่ อย่างไร ไม่ว่าการซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ที่อียูนี่แหละ ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่สุด การลงทุนในสัมปทานขุดเจาะแก๊สที่บริษัทในยุโรปบางรายทำท่าว่าจะขายหุ้น ถอนตัว เพราะกลัวการ “แซงชั่น” ของอเมริกานั่นเอง การประกอบธุรกรรมทางการเงินของอิหร่านกับธนาคารในยุโรป ที่ถูกขู่ว่าห้ามถอน-ห้ามฝาก จนแต่ละธนาคารไม่กล้าขยับเนื้อขยับตัวอยู่จนบัดนี้ฯลฯ เพราะบรรดาสิ่งเหล่านี้นี่แหละ...ถึงจะทำให้มาตรการ “แซงชั่นขั้นสูงสุด” ของอเมริกาพอจะเป็นเนื้อ-เป็นหนังขึ้นมาได้มั่ง...

เนื่องจากทุกวันนี้...ผู้ที่หวั่นไหว หวั่นเกรงคำขู่ของอเมริกา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...มันออกจะลดน้อยถอยลงไปอย่างเห็นได้ชัดอย่างที่นักวิเคราะห์แห่งศูนย์ศึกษาความมั่นคงแห่งสถาบัน “Russia Academy of Sciences Institute of Oriental Studies” “นายคอนสแตนติน โบลห์คิน” (Konstantin Blokhin) ได้สรุปไว้กับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละว่า... “เดี๋ยวนี้คำขู่ของอเมริกา ไม่มีใครคิดจะถือเป็นจริง-เป็นจังต่อไปอีกแล้ว” อย่างเช่นคุณลุงอินตะระเดียนั้น แม้จะเจอคำขู่คราวแล้วคราวเล่า แต่ก็พร้อมยืนยันว่า...จะยังคงซื้อน้ำมันจากอิหร่านต่อไป แถมยังหันไปซื้อจรวด S-400 จากรัสเซียที่ยังถูกแซงชั่นจากอเมริกาแบบชนิดนาร้าย...นารายณ์ เอาเลยถึงขั้นนั้น เช่นเดียวกับตุรกี ประธานาธิบดี “ไตยิป” หรือ “เทย์ยิป” ของคุณน้อง “แชมป์-พีรพล” พิธีกรปากไว-เท้าไวแห่งช่อง 3 ท่านก็ได้ออกมายืนยันเอาไว้แล้วว่า ตุรกีก็ยังคงพร้อมสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านต่อไป เพราะด้วยผลประโยชน์แห่งชาตินั้น “ตุรกี...ต้องมาก่อน” ไม่ใช่ “อเมริกา...มาก่อน” ซะร่ำไป เช่นเดียวกับจีน รัสเซีย ไปจนแม้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ดูจะไม่สนใจ “คำขู่” ของอเมริกามากมายซักเท่าไหร่...

และหากคิดจะหันไปใช้ “อำนาจทางทหาร” เพื่อทำให้การส่งออกน้ำมันอิหร่านต้องเหลือ “ศูนย์” อันนั้น...ก็ยิ่ง “โกบิ๊ก” ไปกันใหญ่เพราะอย่างที่อิหร่านเขาป่าวประกาศเอาไว้แล้วล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ถ้าอิหร่านส่งออกน้ำมันไม่ได้ ก็อย่าได้หวังว่าประเทศอื่นๆ ที่มีที่ตั้งอยู่ในแถบช่องแคบฮอร์มุซ จะสามารถส่งออกน้ำมันได้” อีกทั้งการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงกับอิหร่านนั้น ย่อมนำไปสู่การ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ได้เสมอๆ และรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ อย่าง “นายเจมส์ แมตทิส” ก็น่าจะรับทราบดี ถึงได้ออกมายืนยันเอาไว้ว่า การเปิดศึกใดๆ กับอิหร่านนั้น เป็นแค่ “นิยายทั้งแท่ง” ไม่ได้มีเค้าความจริงใดๆ แม้แต่น้อย รวมทั้งสหรัฐฯ เองก็ไม่ถึงกับคิดจะล้มระบอบปกครองอิหร่าน เพียงแต่ต้องการสร้างแรงกดดันให้อิหร่าน “เปลี่ยนพฤติกรรม” เท่านั้นเอง...

สิ่งที่เหลืออยู่ในมือของสหรัฐฯ อันอาจนำไปสู่การสร้างแรงกดดันให้กับอิหร่านได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง ก็จึงอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับพันธมิตรอย่างอียูนั่นเอง ว่าจะสามารถส่งผลให้อียูกลายเป็น “อีย้วย” ขึ้นมาในช่วงระหว่างนี้ได้มาก-น้อยเพียงใด และอย่างไร การหันมาจูบปากกันระหว่างประธานคณะกรรมาธิการยุโรป “นายฌอง-โคลด จุงเกอร์” กับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” คราวนี้ จึงคงต้องรอติดตามรายละเอียดกันต่อไปว่า มันจะส่งผลให้ “คำตอบ” ที่บรรดาประเทศในสหภาพยุโรป ต้องตอบกับอิหร่านภายในช่วงวันที่ 4 สิงหาคมที่จะถึงนี้ มันจะออกมาในแนวอียู หรืออีย้วยกันแน่!!!

อย่างไรก็ตาม...ถ้าว่ากันตามมุมมองของนักวิเคราะห์รัสเซีย ไม่ว่า “นายคอนสแตนติน โบลห์คิน” หรือ “นายวลาดิมีร์ ซาชิน” (Vladimir Sazhin) นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันเดียวกัน ความพยายามสร้างแรงกดดันให้กับอิหร่านของอเมริกา ที่ทำให้เกิด “สงครามปาก” ไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ต่างไปจากกรณีเกาหลีเหนือก่อนหน้านั้น แม้ว่าสุดท้าย...มันอาจจบลงไปในแบบเดียวกัน คือแบบที่อเมริกาได้แต่พูดไป-พูดมา โดยไม่สามารถลงมือ ลงตีนใดๆ ได้อย่างที่พูดๆ เอาไว้เลย แต่การสร้างความเป็นปรปักษ์ระหว่างอเมริกากับอิหร่านนั้น ไม่เพียงไม่สามารถก่อให้เกิดการลุกฮือใดๆ ในอิหร่านได้แล้ว ยังกลับเป็นตัวสร้างแรงกระตุ้นให้บรรดาพวก “สุดโต่ง” ในอิหร่าน กลับยิ่งมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ และจะทำให้โลกทั้งโลกต้องจมอยู่กับ “บรรยากาศแห่งความเป็นศัตรู” ชนิดที่การ “Sanction” ย่อมกลายเป็นตัวนำไปสู่ “Stagnation” หรือนำไปสู่ “ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน” จนไม่มีใครได้ มีแต่เสีย...กับ...เสียไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น