** บรรยากาศการเมืองยามนี้จะว่าไปแล้วเหมือนกับจืดๆ เซ็งๆ เสียมากกว่าเข้มข้น ดุดัน สาเหตุอาจเป็นเพราะ บนเวที มีแต่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คนเดียวเท่านั้น ที่โชว์ฟอร์มอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ยังมองไม่เห็นคู่ชกว่าเป็นใคร ในความหมายที่ว่า "ทิ้งขาด ไม่มีคู่ชก" ไม่ใช่ในความหมายว่า ฝ่ายตรงข้ามลับลวงพราง แต่อย่างใด
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เวลานี้ยังมองไม่เห็นว่าในฝ่ายของพรรคการเมืองว่าจะมีใครที่จะมาเป็นคู่ต่อกรกับเขาได้อย่างสูสี คู่คี่ ไม่ว่าจะเป็นฟากของพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย ของทักษิณ ชินวัตร
แน่นอนว่าหากพิจารณาไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ตัวเลือกก็ยังคงต้องเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะยังไม่เห็นแววหัวหน้าพรรคคนใหม่ เนื่องจากเจ้าของพรรค ยังไม่เคาะมาจากแดนไกล คนที่เคยรับอาสาอย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เวลานี้ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
หลายคนอาจจะอ้างว่า เป็นเพราะคำสั่ง คสช. กดเอาไว้ ยังไม่มีการปลดล็อกให้มีการเคลื่อนไหวกันได้ ซึ่งมันก็จริงอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร หากมีการปล่อยกันอย่างเสรีแล้วคำถามก็คือ ยังจะมีใครที่น่าสนใจมากกว่านี้อีกหรือไม่ หรือรายอื่นเท่าที่เห็น ก็มี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งหลังจากปรากฏตัวออกมาแล้วระยะหนึ่ง คำตอบก็คงได้เห็นกันอยู่ ว่าน่าจะเป็นแค่ระดับ "เด็กน้อย" คนหนึ่ง ที่อาจดูสวยงามในโลกของจินตนาการ
แต่สำหรับการเมืองไทยของจริงที่ต้องครบทุกรส ดุเด็ด เผ็ดมัน รวมทั้งบางครั้งก็ต้องมีหวานเคลือบเข้ามาด้วย ซึ่งนาทีนี้ หากพูดไปก็เหมือนกับเชียร์ "ลุงตู่" แบบไม่ลืมหู ลืมตา แต่ไม่เชื่อก็ลองกวาดตามองไปทางอื่น แล้วพิสูจน์กันว่ามีใครบ้างที่พอคาดหวังได้มาสักชื่อ สองชื่อ ยังมองไม่เห็นเลยจริงๆ
**ขณะเดียวกัน สำหรับใครก็ตามที่อยากเห็นการ "สลายระบอบทักษิณ" ให้หายไปจากแผ่นดินนี้ ก็น่าจะมีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละ ที่พอคาดหวังได้ เพราะหากใครที่ระบุว่า เป็นระบอบที่ชั่วร้ายที่เกาะกินทำลายสังคมไทยมานานนับสิบปี ก็น่าจะมีแต่เขาเท่านั้น ที่รู้ทันและเป็นคู่ต่อกรได้ และอีกด้านหนึ่งว่ากันว่า เขานี่แหละที่เป็นคนที่ ทักษิณ ชินวัตร หวั่นใจมากที่สุด เพราะไล่บี้กันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.10 กับตท.12)
วกมาที่ ความคึกคักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กันบ้าง ที่เวลานี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีอาการแบบ "ดี๊ด๊า" มากเป็นพิเศษ เหมือนกับมีอาการพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะในช่วงการเดินสายลงพื้นที่ไปประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ที่จังหวัดอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทั้งลีลาท่าทาง คำพูดคำจา เวลาพูดกับชาวบ้านหรือกับข้าราชการ ล้วนเต็มไปด้วยจิตวิทยา ที่สร้างการเปรียบเทียบให้เห็น อยู่ตลอดเวลา
ได้เห็นการเคลื่อนไหวของการชักแถวของบรรดานักการเมือง อดีต ส.ส.ในพื้นที่ เข้ามาแสดงตัว ที่เหมือนกับการยืนยันเปิดตัว ล้วนแล้วแต่เป็นระดับเกรด เอ บี ซี ลดหลั่นกันไป ซึ่งแน่นอนว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน ย่อมกระทบกระเทือนกับพรรคเพื่อไทย เครือข่ายทักษิณ อย่างจัง
** สิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพความจริงดังกล่าวข้างต้นก็คือ คำพูดยอมรับของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีข่าวว่าจะมาเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผ่านมาได้คุยกับหลายพรรคการเมือง นักการเมืองหลายคน และย้ำว่า มีหลายพรรค ต้องการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ส่วนเรื่องตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นเรื่องอนาคต ถึงเวลาจะบอกให้ฟัง พูดแบบนี้ไม่ต้องตีความให้มากความ เพราะมันชัดเจนในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เวลานี้ในเมื่อกฎหมายยังไม่เปิด ยังไม่ถึงเวลา ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดตัว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์ทั้งหมดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น นาทีนี้เหมือนกับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไร้คู่ต่อกรที่สูสีกันไปแล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะด้วยกลไก และอำนาจที่เบ็ดเสร็จ และรู้จักยืดหยุ่น ไม่ได้แข็งตึงทื่อตลอดเวลา ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นทุกวัน เหมือนกับยิ่งมา ยิ่งคึก ประกอบกับฝ่ายตรงข้ามคือ ทักษิณ ชินวัตร ถูกล็อกทางกฎหมายจนดิ้นไม่ออก ลงทุนไปก็ไม่ได้กำไร
** งานนี้จึงน่าจะออกมาในทางประคองตัว รอลุ้นในทางยาว แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นอนาคต เพราะมีคดีเป็นหางว่าวในศาลทำอะไรไม่ได้มากแล้ว มันถึงได้บอกว่า เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีแต่ฝ่อลง มันก็ยิ่งทำให้ "ลุงตู่" ยิ่งคึก เวลาที่เหลืออีก 8 เดือน จึงน่าจับตาว่า จะเร่งปล่อยของโกยแต้มอย่างไรบ้าง เพราะมีสัญญาณแสดงออกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ !!
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เวลานี้ยังมองไม่เห็นว่าในฝ่ายของพรรคการเมืองว่าจะมีใครที่จะมาเป็นคู่ต่อกรกับเขาได้อย่างสูสี คู่คี่ ไม่ว่าจะเป็นฟากของพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคเพื่อไทย ของทักษิณ ชินวัตร
แน่นอนว่าหากพิจารณาไปที่พรรคประชาธิปัตย์ ตัวเลือกก็ยังคงต้องเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะยังไม่เห็นแววหัวหน้าพรรคคนใหม่ เนื่องจากเจ้าของพรรค ยังไม่เคาะมาจากแดนไกล คนที่เคยรับอาสาอย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เวลานี้ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
หลายคนอาจจะอ้างว่า เป็นเพราะคำสั่ง คสช. กดเอาไว้ ยังไม่มีการปลดล็อกให้มีการเคลื่อนไหวกันได้ ซึ่งมันก็จริงอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร หากมีการปล่อยกันอย่างเสรีแล้วคำถามก็คือ ยังจะมีใครที่น่าสนใจมากกว่านี้อีกหรือไม่ หรือรายอื่นเท่าที่เห็น ก็มี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งหลังจากปรากฏตัวออกมาแล้วระยะหนึ่ง คำตอบก็คงได้เห็นกันอยู่ ว่าน่าจะเป็นแค่ระดับ "เด็กน้อย" คนหนึ่ง ที่อาจดูสวยงามในโลกของจินตนาการ
แต่สำหรับการเมืองไทยของจริงที่ต้องครบทุกรส ดุเด็ด เผ็ดมัน รวมทั้งบางครั้งก็ต้องมีหวานเคลือบเข้ามาด้วย ซึ่งนาทีนี้ หากพูดไปก็เหมือนกับเชียร์ "ลุงตู่" แบบไม่ลืมหู ลืมตา แต่ไม่เชื่อก็ลองกวาดตามองไปทางอื่น แล้วพิสูจน์กันว่ามีใครบ้างที่พอคาดหวังได้มาสักชื่อ สองชื่อ ยังมองไม่เห็นเลยจริงๆ
**ขณะเดียวกัน สำหรับใครก็ตามที่อยากเห็นการ "สลายระบอบทักษิณ" ให้หายไปจากแผ่นดินนี้ ก็น่าจะมีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละ ที่พอคาดหวังได้ เพราะหากใครที่ระบุว่า เป็นระบอบที่ชั่วร้ายที่เกาะกินทำลายสังคมไทยมานานนับสิบปี ก็น่าจะมีแต่เขาเท่านั้น ที่รู้ทันและเป็นคู่ต่อกรได้ และอีกด้านหนึ่งว่ากันว่า เขานี่แหละที่เป็นคนที่ ทักษิณ ชินวัตร หวั่นใจมากที่สุด เพราะไล่บี้กันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.10 กับตท.12)
วกมาที่ ความคึกคักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กันบ้าง ที่เวลานี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีอาการแบบ "ดี๊ด๊า" มากเป็นพิเศษ เหมือนกับมีอาการพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะในช่วงการเดินสายลงพื้นที่ไปประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ที่จังหวัดอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23-24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทั้งลีลาท่าทาง คำพูดคำจา เวลาพูดกับชาวบ้านหรือกับข้าราชการ ล้วนเต็มไปด้วยจิตวิทยา ที่สร้างการเปรียบเทียบให้เห็น อยู่ตลอดเวลา
ได้เห็นการเคลื่อนไหวของการชักแถวของบรรดานักการเมือง อดีต ส.ส.ในพื้นที่ เข้ามาแสดงตัว ที่เหมือนกับการยืนยันเปิดตัว ล้วนแล้วแต่เป็นระดับเกรด เอ บี ซี ลดหลั่นกันไป ซึ่งแน่นอนว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน ย่อมกระทบกระเทือนกับพรรคเพื่อไทย เครือข่ายทักษิณ อย่างจัง
** สิ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพความจริงดังกล่าวข้างต้นก็คือ คำพูดยอมรับของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีข่าวว่าจะมาเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่ผ่านมาได้คุยกับหลายพรรคการเมือง นักการเมืองหลายคน และย้ำว่า มีหลายพรรค ต้องการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ส่วนเรื่องตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นเรื่องอนาคต ถึงเวลาจะบอกให้ฟัง พูดแบบนี้ไม่ต้องตีความให้มากความ เพราะมันชัดเจนในตัวอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เวลานี้ในเมื่อกฎหมายยังไม่เปิด ยังไม่ถึงเวลา ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดตัว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์ทั้งหมดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น นาทีนี้เหมือนกับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไร้คู่ต่อกรที่สูสีกันไปแล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะด้วยกลไก และอำนาจที่เบ็ดเสร็จ และรู้จักยืดหยุ่น ไม่ได้แข็งตึงทื่อตลอดเวลา ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นทุกวัน เหมือนกับยิ่งมา ยิ่งคึก ประกอบกับฝ่ายตรงข้ามคือ ทักษิณ ชินวัตร ถูกล็อกทางกฎหมายจนดิ้นไม่ออก ลงทุนไปก็ไม่ได้กำไร
** งานนี้จึงน่าจะออกมาในทางประคองตัว รอลุ้นในทางยาว แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นอนาคต เพราะมีคดีเป็นหางว่าวในศาลทำอะไรไม่ได้มากแล้ว มันถึงได้บอกว่า เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีแต่ฝ่อลง มันก็ยิ่งทำให้ "ลุงตู่" ยิ่งคึก เวลาที่เหลืออีก 8 เดือน จึงน่าจับตาว่า จะเร่งปล่อยของโกยแต้มอย่างไรบ้าง เพราะมีสัญญาณแสดงออกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ !!