xs
xsm
sm
md
lg

แนวโน้มโลกกับการประชุม 2 ผู้นำโลก (2)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


การที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะหันมาให้ความสำคัญต่อ “แนวรบในตะวันออกกลาง” มากไปกว่า “แนวรบในยุโรปตะวันออก” ก็ดูจะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ไม่ถึงกับยากส์ส์ส์สักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะดูแนวคิดพฤติกรรม หรือแม้แต่ดูไปถึง “สภาวะแวดล้อม” รอบๆ ตัวประธานาธิบดีผู้นี้เอาเลยก็ยังได้ เพราะนอกจากรัฐบาลอเมริกันแทบทุกยุคทุกสมัย ในช่วงตลอดระยะเวลาเท่าที่ผ่านมา มักถูกเรียกขานกันในนาม “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” มาโดยตลอด อันเนื่องมาจากบทบาทอิทธิพลของบรรดานักธุรกิจชาวยิวในอเมริกา ซึ่งสามารถ “ครอบงำ” รัฐบาลแต่ละรัฐบาลมาได้แทบทุกยุค ทุกสมัย ไม่ว่ารีพับลิกันหรือเดโมแครต แต่สำหรับรัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า” แล้ว ยิ่งน่าจะจัดอยู่ในประเภท “โกบิ๊ก” ไปกันใหญ่ เมื่อเทียบกับรัฐบาลต่างๆ เท่าที่ผ่านมา...

พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ใช่แค่ตัวประธานาธิบดีมีลูกเขย อย่าง “นายจาเร็ด คุชเนอร์” เป็นชาวยิวแต่เพียงเท่านั้นไม่ว่าจะไล่มาตั้งบรรดาผู้ช่วยเหลือสนับสนุนประธานาธิบดีรายนี้ ตั้งแต่ครั้งต้องเจอกับคดีล้มละลาย มาจนถึงครั้งที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงการรณรงค์เลือกตั้งอย่าง “เดวิด ฟรีดแมน” (David Friedman) เจ้าพ่อกาสิโนที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอลในทุกวันนี้ เจ้าพ่อสื่อทีวี สื่อสิ่งพิมพ์อย่าง “รูเพิร์ต เมอร์ด็อค” (Rupert Murdoch) ที่ถือเป็น “ไอดอล” ของ “ทรัมป์บ้า” มาตั้งแต่ต้นเอาเลยก็ว่าได้ และโดยเฉพาะ “เชลดอน อเดลสัน” (Sheldon G. Adelson) เจ้าพ่อกาสิโนอีกราย ที่ยอมควักเงินบริจาคถึง 20 ล้านดอลลาร์ให้กับทีมรณรงค์เลือกตั้งของ “ทรัมป์บ้า” อย่างชนิดไม่เสียดมเสียดาย ฯลฯ บรรดาคนเหล่านี้ต่างฝัง “ความเป็นยิว” เอาไว้ในสายเลือดไปด้วยกันทั้งสิ้น...

ด้วยเหตุนี้...บรรดามือๆ-ตีนๆ ของ “ทรัมป์บ้า” ในแต่ละราย ล้วนแล้วแต่ออกไปทาง “โปรอิสราเอล” ชนิดสุดลิ่มทิ่มริดสีดวงทวารไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่ารายของ “นิกกี้ ฮาเลย์” ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ หรือ “จอห์น โบลตัน” ที่สามารถผงาดขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงรายล่าสุด ที่ออกจะรัก “ชาติอิสราเอล” ยิ่งกว่าชาติตัวเองเอาเลยก็ไม่แน่ ฯลฯ บรรดากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละที่น่าจะมีส่วนทำให้ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศอิสราเอล กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ของอเมริกาไปแล้วก็ว่าได้ รัฐบาลอเมริกันชุดนี้ ถึงได้กล้าสวนทางกับมติสหประชาชาติ กล้าฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าในกรณีการประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล การถอนตัวออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ด้วยเหตุเพราะการประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิสราเอลในการปราบปรามผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ ไปจนถึงการถอนตัวจากข้อตกลงพหุภาคีในเรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน หรือข้อตกลง “JCPOA” นั่นเอง...

การหาทางทำให้รัสเซียวางมือ หรือคลายมือจากการยืนหยัดสนับสนุนรัฐบาลประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” ในซีเรีย หรือวางตัวเป็นกลาง ในการสกัดกั้นทำลาย อิทธิพลของอิหร่านในซีเรีย ปาเลสไตน์ เลบานอน และเยเมน ที่ถือเป็นตัวชี้เป็น ชี้ตาย ต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศอิสราเอล รวมทั้งการขยายอำนาจของอิสราเอลเหนือดินแดนต่างๆ ที่ได้เคยยึดครองเอาไว้ จึงกลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลอเมริกันเอาจริง-เอาจังอย่างเป็นพิเศษ ถึงขั้นเกิดข้อตกลงร่วมในการ “ขจัดภัยคุกคามอิหร่าน” จัดตั้งทีมงานอเมริกา-อิสราเอลขึ้นมาไม่รู้กี่ทีมต่อกี่ทีม เพื่อบ่อนทำลายระบอบปกครองอิหร่านทั้งภายนอก ภายในอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ โดยเฉพาะการขจัดอุปสรรคขัดขวาง ที่อาจเป็นตัวระงับยับยั้งการบรรลุเป้าหมายที่ว่า นั่นก็คือการทำให้รัสเซียคลายมือ หรือวางมือจากการปกป้องและช่วยเหลือผู้ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับอิสราเอล อันเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เคยบอกกล่าวเอาไว้กับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ว่าการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ไม่อาจปฏิเสธความช่วยเหลือจากรัสเซียได้เลย...นี่ถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” ของวอชิงตันโพสต์เมื่อไม่นานมานี้...

การ “ขายยุโรป” เพื่อแลกเปลี่ยนกับ “การปกป้องอิหร่านและซีเรีย” ของรัสเซีย...จึงเป็นเรื่องที่อาจเป็นไปได้ หรือเป็นเรื่องที่ทำให้พวกกูรู กูรู้ ในบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย ถึงได้กลัวๆ “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” ในกรณีเช่นนี้ และถ้าหาก “ความน่าที่จะเป็นไปได้” มันเกิด “เป็นไปได้” ขึ้นมาจริงๆ อันนี้นี่แหละ...ที่ฉาก “ภูมิรัฐศาสตร์โลก” หรือฉากเหตุการณ์ใน “แนวรบ” ต่างๆ ย่อมต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ยุโรป...ไม่เพียงแต่ต้องหันมา “พึ่งตัวเอง” ให้มากๆ เข้าไว้ ยังต้องหันไปหาสมัครพรรคพวกให้เพิ่มขึ้นๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณพี่จีน ที่กำลังทอดสะพาน ถอดเสื้อ ถอดผ้า รอให้ปล้ำอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ แม้กระทั่งอิหร่าน ที่ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณอย่างท่านอิหม่าม “อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี” (Ali Khamenei) เพิ่งจะกดดันให้รัฐบาลของประธานาธิบดี “โรฮานี” ซึ่งกำลังผิดหวังต่อท่าทีของประเทศในยุโรป ต่อการร่วมประคับประคองข้อตกลง “JCPOA” ให้เรียกร้องบรรดาประเทศยุโรป ให้แสดงออกถึง “หลักประกัน” ในทางเศรษฐกิจ การค้าให้กับอิหร่านมากขึ้นไปกว่านี้ ไม่งั้นอิหร่านอาจต้องแสดงอำนาจอะไรออกมามั่ง ถ้าบรรดาประเทศในยุโรปยังคงกลัวอำนาจ อิทธิพลของอเมริกา หรือท้ายที่สุดแล้ว...ยุโรปอาจต้องเลิกกลัวอเมริกา เลิกพะวักพะวงต่อ “การแซงชั่นอิหร่านขั้นสูงสุด” ของอเมริกา แล้วตัดสินใจหันมาจูบปากแบบดูดๆ ดื่มๆ กับอิหร่านให้เป็นเรื่องเป็นราวนั่นเอง...

แน่ล่ะว่า...ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปแนวนี้ ความเป็นมิตร-ความเป็นศัตรูของแต่ละประเทศ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แบบชนิดแทบจำหน้า-จำตากันไม่ได้ การลงทุนและการซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ที่มียุโรปเป็นลูกค้ารายใหญ่สุด จะต้องหาทางดำเนินต่อไป โดยไม่ต้องสนใจกับคำขู่ หรือคำประกาศของอเมริกา ที่ระบุเอาไว้ว่า จะต้องทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านมีค่ากับ “ศูนย์” หรือต้องร่วมขจัดอุปสรรคขัดขวางต่อการดำเนินธุรกรรมเหล่านี้ อย่างชนิดถึงไหนก็ถึงกัน การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างยุโรปกับจีน ในช่วงการประชุม “EU-China Business Summit” ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันระหว่างที่ “ทรัมป์บ้า” เจอกับ “ปูติน” เพื่อยืนหยัด ยืนยันถึงการคัดค้านต่อต้าน “สงครามการค้า” ที่มีอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม อาจเป็นความเป็นไปได้ที่ไม่น่าจะเป็นได้เอาเลยก็ไม่แน่???

แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนมิตร-เปลี่ยนศัตรู เปลี่ยนฉากภูมิรัฐศาสตร์โลกไปในแนวไหน อย่างไร สิ่งที่คงต้องคิด ต้องให้ความสนใจกันต่อไป ก็คือภายใต้ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มันจะนำไปสู่ฉากสถานการณ์แบบไหนในอนาคตข้างหน้า หรือจะทำให้โลกเลื่อนไหลไปในลักษณะใด เป็นโลกแบบใหม่ที่ประกอบไปด้วย “หลายขั้วอำนาจ” หรือโลกแบบเก่าที่สุดท้ายยังคงต้องเป็น “โลกขั้วเดียว” หรือยังต้องมี “ประมุขโลก” อีกต่อไป อันนี้นี่แหละ...เลยคงต้องขออนุญาตลากต่อไปอีกซักวัน ถือเป็นการปิดท้ายสัปดาห์นี้แบบชนิดม้วนเดียวจบ ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” จะบ้ามาก บ้าน้อย หรือไม่ว่าผลการประชุม 2 ผู้นำโลกจะออกมาในแบบไหน แนวไหน...


กำลังโหลดความคิดเห็น