“มืดเหมือนเข้าถ้ำ” นี่คือคำอุปมาพฤติกรรมของคนที่ประสบปัญหา และหาวิธีแก้ไม่ได้
โดยนัยแห่งคำเปรียบเทียบข้างต้น บ่งบอกถึงสภาพภายในถ้ำว่า มืดจนมองอะไรไม่เห็น ดังนั้น ผู้ที่จะเข้าไปภายในถ้ำจึงต้องมีอุปกรณ์ให้แสงสว่างส่องทาง ในทำนองเดียวกัน เมื่อคนมีปัญหา ก็จะต้องมีปัญญาในการแก้ปัญหา เพราะปัญญาเปรียบได้กับแสงสว่าง และตามนัยแห่งคำสอนในพุทธศาสนา ถือว่าเป็นแสงสว่างที่ไม่มีแสงสว่างอื่นเปรียบได้ (นตฺถิ ปัญญา สมา อาภา)
ดังนั้น คนที่ไม่มีปัญญาประสบปัญหา ก็ไม่ต่างกับคนเข้าถ้ำโดยไม่มีอุปสรรคให้แสงสว่าง
แต่ในความมืด ซึ่งก่อให้เกิดความน่ากลัว ถ้ำทุกถ้ำมีความสวยงามของหินงอก และหินย้อยซึ่งเกิดจากน้ำที่ซึมจากด้านบน และยังมีห้องใหญ่น้อยอันเกิดจากน้ำเซาะหินปูน จนเป็นรูปร่างงดงาม ดึงดูดให้ผู้รักความงามตามธรรมชาติ ยอมเสี่ยงภัยเข้าไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก และในจำนวนนี้มีอยู่ส่วนไปดูเป็นจำนวนมาก และในจำนวนนี้บางคนหรือบางกลุ่มออกจากถ้ำไม่ได้เนื่องจากหลงทางหรือไม่ได้หลงทาง แต่ออกจากถ้ำไม่ได้เนื่องจากเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ก้อนหินและดินพังลงมาปิดปากถ้ำ หรือฝนตกหนักน้ำไหลลงมาท่วมทางออก ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับทีมหมูป่าอะคาเดมี 13 คน ประกอบด้วยนักฟุตบอล 12 คน และผู้ช่วยโค้ช 1 คน ทั้ง 13 คนนี้ได้เข้าไปเที่ยวในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน และไม่ได้กลับออกมา จึงได้มีผู้แจ้งความคนหายและขอความช่วยเหลือในการค้นหา
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป การค้นหาเพื่อช่วยเหลือทั้ง 13 ออกจากถ้ำจึงได้เริ่มขึ้น โดยมีทีมค้นหา และหน่วยสนับสนุนในการค้นหา ทั้งจากภาครัฐและเอกชน จากในประเทศและต่างประเทศได้ร่วมมือกัน
ในการปฏิบัติงานค้นหาได้แบ่งงานออกเป็น 3 ส่วนคือ
1. การค้นหาภายในถ้ำ โดยการดำน้ำเข้าไปตามทาง ซึ่งคาดว่าทั้ง 13 คนได้เข้าไป และหลบภัยน้ำท่วมอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งภายในถ้ำ
ในการปฏิบัติงานในส่วนนี้ มีหน่วยรบพิเศษทางเรือหรือซีลจากกองทัพเรือ และผู้เชี่ยวชาญในการดำน้ำในถ้ำจากต่างประเทศทำงานร่วมกัน โดยมีพื้นที่เป้าหมายคือบริเวณที่เรียกพัทยาบีช
2. การค้นหาจากภายนอกถ้ำ โดยการสำรวจหาปล่องหรือโพรงซึ่งคาดว่าจะเป็นทางลงไปสู่ภายในถ้ำ และสามารถนำผู้ประสบภัยขึ้นมาได้
ในการปฏิบัติงานในส่วนนี้ มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพบก เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาสมัครจากภาคเอกชนทำงานร่วมกัน
3. การสนับสนุนการค้นหาภายในถ้ำโดยการสูบน้ำออกจากถ้ำโดยตรง การขุดเจาะบาดาลเพื่อสูบน้ำใต้ดินบริเวณถ้ำ และการเปลี่ยนทางน้ำที่จะไหลเข้าสู่ถ้ำเป็นการลดระดับน้ำทางอ้อม ทั้งนี้เพื่อให้ระดับน้ำในถ้ำลดลงอยู่ในระดับที่นักดำน้ำทำงานได้ง่ายขึ้น
การค้นหาได้ดำเนินไปตลอดทั้งคืน และนับตั้งแต่วันที่ 24 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงวันที่ 2 กรกฎาฯ จึงได้พบผู้สูญหายทั้ง 13 คน ณ บริเวณภายในถ้ำที่เรียกว่า เนินนมสาว ซึ่งอยู่ห่างจากพัทยาบีชประมาณ 400 เมตร และปรากฏว่าทุกคนปลอดภัยและมีขวัญกำลังใจดี
หลังจากได้พบตัวแล้ว จึงได้มีการฟื้นฟูร่างกายโดยการให้อาหาร และสร้างขวัญกำลังใจรอวันที่จะนำออกจากถ้ำ เมื่อทุกคนมีร่างกายแข็งแรง และจิตใจเข้มแข็ง รวมไปถึงสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยในระดับที่มั่นใจว่ามีความปลอดภัย
ในที่สุดทีมหมูป่าทั้ง 13 คนได้รับการช่วยเหลือให้ออกมาจากถ้ำได้อย่างปลอดภัยทุกคนในวันที่ 10 กรกฎาคม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ได้ออกมา 4 คน วันที่ 9 อีก 4 คน และในวันที่ 10 อีก 5 คน และต่อจากนั้นหมูป่าทุกคนจะได้รับการเยียวยาจนกว่าจะแข็งแรง และส่งกลับบ้านในโอกาสต่อไป
ตลอดเวลาในการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ และพระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงห่วยใย ทั้งได้พระราชทานสิ่งของ เครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน รวมไปถึงประชาชนคนไทย และชาวต่างประเทศ ต่างส่งกำลังใจมาให้ทีมค้นหา และอวยพรขอให้ทั้ง 13 คนปลอดภัย
ดังนั้น เมื่อทั้ง 13 คนออกจากถ้ำได้ในครั้งนี้ ก็ด้วยพระบารมีแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมไปถึงกำลังใจที่ประชาชนทั่วโลกส่งให้ บวกกับความรัก ความสามัคคีของทีมช่วยเหลือผู้มากประสบการณ์ ทั้งที่เป็นคนไทย และต่างชาติ จึงทำให้ภารกิจการให้ความช่วยเหลือทั้ง 13 คนลุล่วงไปได้ด้วยดี
จากวิกฤตการณ์ที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในครั้งนี้ ทำให้ชาวโลกรู้จักประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านของการรวมพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาของสังคมโดยรวมได้
ถึงแม้ว่าภารกิจในการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คนได้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และคนไทยทั้งประเทศดีใจที่ทั้ง 13 คนปลอดภัย แต่คนไทยทุกคนควรจะได้จดจำ และนำมาคิดเกี่ยวกับวิกฤตในครั้งนี้ใน 2 ประเด็นคือ
1. ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความประมาทขาดความรอบคอบในเรื่องเล็กน้อย ทำให้เกิดวิกฤตใหญ่โตได้
2. วิกฤตจะรุนแรงและใหญ่โตขนาดไหน ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจก็แก้ไขวิกฤตได้