ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปดูพวก “แมลงเม่า” ในตลาดหุ้นต่างๆ กันมั่งนั่นแหละทั่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะปีกหัก ปีกหลุดไปแล้วขนาดไหน เพราะช่วงวันพุธที่ผ่านมา เห็นว่าตลาดหุ้นทั่วทั้งโลก ปักหัวดิ่งกันไปเป็นแถบๆ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้นั้นทรุดไป 1.8 เปอร์เซ็นต์ ฮั่งเส็ง ฮ่องกง เห็นว่าร่วงไป 1.2 เปอร์เซ็นต์ FTSE ของลอนดอนตกจากหอลงมาประมาณ 1.4 DAX เยอรมนีร่วงไป 1.3 และ CAC ของฝรั่งเศส ลบไป 1.5 ฯลฯ...
ซึ่งว่ากันว่า...ต้นสายปลายเหตุ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ต้องเจอกับ “ลูกบ้า”ของ “ทรัมป์บ้า” อีกแล้วนั่นเอง คือจากข่าวคราวการประกาศว่าเตรียมจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนล็อตใหม่อีก 10 เปอร์เซ็นต์ มูลค่ารวมๆ แล้วอยู่ที่ประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าผลในทางปฏิบัติอาจเลยไปถึงช่วงปลายเดือนสิงหาคมโน่นเลย แต่ด้วยสีสันบรรยากาศแห่งการกะจะเอาให้ตายกันไปข้าง ไม่ว่ามึง-ไม่ว่ากู มีอันต้องเจ๊งก่อน หรือตายก่อนกันในช่วงไหน จังหวะไหน ชนิดที่ไม่ได้แสดงให้เห็นแนวโน้มแห่งการลดราวาศอกเอาเลยแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ได้ช่วยเกื้อหนุนต่อการค้าๆ ขายๆ การทำเงิน ทำทองใดๆ อยู่แล้วแน่ๆ...
เพราะยังไงๆ...จีนเขาคงต้อง “ออกอาวุธโต้” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และอาวุธเท่าที่เหลืออยู่ ก็อาจต้องออกมาทางหนักๆ ร้ายๆ เพิ่มระดับความรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้างไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดอาจทำให้ “สงครามการค้า” มีสิทธิ์ลุกลาม บานปลายกลายไปเป็น “สงครามการเงิน” หรือ “วิกฤตการเงิน” ได้ไม่ยากส์ส์ส์ ดังที่อดีตนักลงทุนและนักวิเคราะห์การเงิน การตลาดระดับตัวพ่ออย่าง “มาร์ค โมเบียส” (Mark Mobius) ผู้ก่อตั้งกองทุน “Mobius Capital Partners” ประธานบริหารบริษัท “Templeton Emerging Markets Group” ถึงกับออกมา “ฟันธง” เอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ คราวนี้ ย่อมส่งผลให้... “ไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามต่อไปแล้ว เพราะเราทั้งหลายจะต้องได้เห็นวิกฤตการเงินครั้งใหม่ตามมาอยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าเร็วหรือช้า...”
จริง-ไม่จริง...คงต้องคิดๆ กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น ไม่ได้เลยขีดจำกัดอยู่แต่เฉพาะศัตรูคู่กัด หรือคู่แข่ง (Rival Power) คุณพี่จีนเท่านั้นแต่กระทั่งมิตรแท้ มิตรถาวรมาโดยตลอด อย่างบรรดาประเทศในยุโรป ก็ดูจะต้องเจอกับ “ลูกบ้าเต็มพิกัด” หรือ “ไม่มีขีดจำกัด” อีกด้วยเช่นกันและดูเหมือนว่า...ผู้ที่อุปมา-อุปไมย เปรียบเทียบให้เห็นถึงลูกบ้าของ “ทรัมป์บ้า” ที่มีต่อบรรดาประเทศในยุโรป ณ ช่วงเวลานี้ได้ชัดเจนที่สุด ก็น่าจะเป็น “นายคริส สเตอร์วอลท์” (Chris Stirewalt) บรรณาธิการการเมืองของสำนักข่าว “Fox News” นั่นแหละที่ออกมาวาดภาพเอาไว้ให้เห็นว่า ประธานาธิบดีของตัวเองนั้นไม่ต่างอะไรไปจาก “นกนางนวล” ซึ่งพร้อมแล้วที่จะอึรดทุกสิ่งทุกอย่างในยุโรป จากนั้นก็ร้องแกว๊กๆ แล้วบินหนีไปนั่นแล...
ส่วนการกระทำเช่นนี้...จะเป็นไปเพื่อความ “สะใจ” หรือเพื่อเหตุผลกลใด คงแทบไม่ต้องปวดหัวกับการคิด การวิเคราะห์อะไรมากมายนัก เพราะย่อมต้องถือเป็น “ลูกบ้า” ล้วนๆ อีกทั้งสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ ผู้ที่ไม่ได้บ้า หรือไม่คิดว่าตัวเองบ้า ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองยังมี “สติสัมปชัญญะ” อยู่พอสมควร อย่างบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย...จะเอาไงกันต่อไป??? อันนี้นี่แหละที่ถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ และอาจนำไปสู่ “จุดเปลี่ยน” ของโลกทั้งโลกเอาเลยก็ยังได้ คือถ้ายุโรปทั้งยุโรป ยังออกอาการกึ๊กๆ กั๊กๆ กล้าๆ-กลัวๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็ยังน่าจะออกไปทาง “ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก” ไปโดยตลอดนั่นแหละ ออกไปทางอึมครึม มัวซัว ไม่อาจแยกมิตร-แยกศัตรู ออกจากกันและกันได้ชัดเจน โลกทั้งโลกก็ยังคงต้องติดอยู่ใน “ถ้ำนางนอน” ขณะที่ออกซิเจนลดระดับลงไปเรื่อยๆ และปริมาณน้ำในถ้ำก็ทำท่าว่ากำลังจะเพิ่มขึ้นๆ ในทุกขณะ...
ด้วยลักษณะอาการกึ๊กๆ กั๊กๆ กล้าๆ-กลัวๆ ของยุโรปนั่นเอง...ที่ทำให้ผู้ซึ่งร่วมผูกพันในพันธสัญญากับบรรดาประเทศในยุโรป อย่างประธานาธิบดีอิหร่าน “นายฮัสซัน โรฮานี” ท่านอดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ในการร่วมกันประคับประคองข้อตกลง “JCPOA” ที่ต่างฝ่ายต่างเห็นด้วยกันมาตั้งแต่แรก แต่เหตุที่บรรดาประเทศในยุโรปซึ่งเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร เคยเป็น “มหาอำนาจ” มาก่อนหน้าที่คุณพ่ออเมริกาจะตั้งประเทศซะด้วยซ้ำ ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็พอเป็นที่เข้าใจได้ อันเนื่องมาจากความบอบช้ำ การชดใช้หนี้กรรม ตลอดช่วงสงครามโลกครั้ง 1 และครั้ง 2 นั่นเอง ที่ทำให้เคยมีผู้เปรียบเทียบ อุปมา-อุปไมยเอาไว้ประมาณว่า ส่งผลให้ยุโรปไม่ต่างอะไรไปจาก “โคลนเหลวๆ” ที่จะปั้น จะขึ้นรูป ให้เป็นอะไรก็ย่อมได้ และผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นช่างปั้นในช่วงระยะนั้น ก็คือคุณพ่ออเมริกานั่นเอง...
ดังนั้น...แม้ว่าทุกวันนี้ จะถูกประธานาธิบดีอเมริกัน “ขี้รดใส่หัว” กันถึงเพียงไหนก็ตามที ถูกดูหมิ่น ดูแคลน คราวแล้ว คราวเล่า ล่าสุด...แม้แต่หัวหอกของสหภาพยุโรป อย่างเยอรมนี ยังถูกกล่าวหาว่าเป็น “เชลยรัสเซีย” อันเนื่องมาจากความต้องการที่จะปกป้องธุรกิจพลังงานของตัวเอง ให้พอได้มีทางออก ทางเลือกเท่านั้นเอง แต่สิ่งเหล่านี้...ก็ยังไม่ถึงกับทำให้ชาติต่างๆ ในยุโรป เกิดแรงฮึด หรือเกิดลูกบ้าขึ้นมามั่งด้วยเหตุนี้...การก่อรูป ก่อร่าง การฟื้นฟูให้เกิด “ระเบียบโลก” ที่สามารถนำมาซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเคารพในกฎ กติกา ที่เท่าเทียมกัน จึงยังคงต้องยืดเวลาออกไป จนกว่าบรรดาประเทศในยุโรปจะเกิดความเป็นอิสระ ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างเท่าที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ท่านได้ให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษ เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า... “สหภาพยุโรปนั้น...จะยังคงเป็นเสาหลักที่มีความสำคัญสำหรับระเบียบโลกแบบใหม่ แต่นั่นก็ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของยุโรปเอง ว่าจะยังคงคิดผูกติดอยู่กับการพึ่งพามหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ อีกต่อไป หรือจะคิดพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้นๆ...” เอวัง...ก็มีด้วยประการละฉะนี้...แล...