ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนร่อนไป-ร่อนมา แถวๆ ทะเลอาหรับโน่นเลย คือบริเวณช่องทางแคบๆ ระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน ด้านเหนือติดต่อกับดินแดนอิหร่าน และด้านใต้ติดต่อกับดินแดนสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งสามารถทะลุออกมาทางโอมานต่อไปถึงทะเลอาหรับ ที่เขาเรียกๆ กันว่า “ช่องแคบฮอร์มุซ” (Strait of Hormuz) นั่นแล ด้วยเหตุเพราะ “ทรัมป์บ้า” เจ้าของรางวัล “โนเบล ไพรซ์เพื่อสงคราม” ดันสร้างเรื่องสร้างราวขึ้นมาอีกซะแร้นน์น์น์...
คือ “ทรัมป์บ้า” นั้น...แม้ว่าชอบทะเลาะกับใครต่อใครไปทั่วทั้งโลก กระทั่งคนอเมริกันชาติเดียวกับตัวเอง ก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ก็มีอยู่รายหนึ่งที่ผู้นำอเมริกันรายนี้ พร้อมเสมอที่จะจูบปาก เผลอๆ ยังยอมแหกทวารดมเอาเลยก็ยังได้ นั่นคือประเทศอิสราเอลนั่นเอง และเมื่ออิสราเอลเขาหมายหัวที่จะเล่นงาน “ศัตรูคู่กัด” อย่างอิหร่าน ให้พินาศวอดวายลงไปให้จงได้ รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิวของ “ทรัมป์บ้า” ก็พร้อมตอบสนองความต้องการเหล่านี้มาโดยตลอด จนนำไปสู่การถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ชนิดไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ แม้แต่น้อย พร้อมกับยกระดับการ “แซงชั่นอิหร่าน” ขั้นสูงสุด หรือขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะกดดันอิหร่านในทุกๆ ช่องทาง โดยเฉพาะในช่องทางที่ถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศนี้ คือ “น้ำมันดิบ” ที่มีลูกค้ารายใหญ่ที่สุดคือบรรดาประเทศในยุโรป ไล่มาถึงจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ฯลฯ ตามลำดับ ไม่เพียงแต่ออกโรงขู่ใครต่อใครห้ามไม่ให้ซื้อน้ำมันอิหร่านเท่านั้น ยังป่าวประกาศเอาไว้แบบเสียงดัง-ฟังชัด เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่าจะหาทางเล่นงานการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ให้เหลือเท่ากับ “ศูนย์” ให้จงได้...
พร้อมกันนั้น...ก็โหมมาตรการ “แทรกแซง” จากภายใน โดยมีการประชุมระหว่าง “นายจอห์น โบลตัน” (John Bolton) ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว กับ “นายมีร์ เบน-ชับบาท” (Meir Ben-Shabbat) เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จัดตั้งทีมงานร่วมสหรัฐฯ อิสราเอล เพื่อยุแยงตะแคงรั่วให้เกิดการประท้วงขึ้นในประเทศอิหร่าน โดยฉวยจังหวะที่การแซงชั่นอิหร่าน ทำให้ค่าเงินริอัล (Rial) ตกไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเงินดอลาร์ของสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อระเบิดเถิดเทิง จนเกิดการประท้วงของบรรดาพ่อค้า และผู้คนบางกลุ่ม บางรายขึ้นมาบ้างแล้ว เรียกว่า...ถึงขั้นนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ลงทุนออกวิดีโอยุยงชาวอิหร่านให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลตัวเองแบบตรงไป-ตรงมา แปลเป็นภาษาฟาร์ซี เผยแพร่อยู่ในยูทิวบ์, เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ ขณะที่ “นายไมค์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศก็ลงทุนทวิตข้อความสนับสนุนการประท้วงของชาวอิหร่านอย่างเปิดเผย...
เมื่อเจอกับการไล่กด ไล่บีบ ไล่บี้ เช่นนี้...ผู้นำอิหร่านอย่างประธานาธิบดี “ฮัสซัน โรฮานี” (Hasan Rouhani) ท่านย่อมต้องน็อตหลุด น็อตหลวม อยู่บ้างเป็นธรรมดา แม้จะอุ่นอก-อุ่นใจอยู่บ้าง ที่บรรดาประเทศในยุโรปและในโลกหลายต่อหลายประเทศ ล้วนเข้าใจและเห็นใจอิหร่าน รวมทั้งพร้อมที่จะประคับประคองข้อตกลง “JCPOA” ให้ดำรงคงอยู่ต่อไป แต่ด้วยการสร้างแรงกดดันทั้งภายนอก ภายใน รวมทั้งการประกาศอย่างอหังการว่าจะทำให้การส่งออกน้ำมันของอิหร่านต้องเท่ากับ “ศูนย์” ทำให้ท่านอดไม่ได้ต้อง “ออกอาวุธโต้” เอาไว้มั่ง โดยได้ออกมาป่าวประกาศเอาไว้เมื่อช่วงวันอังคาร (3 ก.ค.) ที่ผ่านมา ประมาณว่าถ้าหากอิหร่านส่งออกน้ำมันไม่ได้...ก็อย่าหวังว่าประเทศอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน จะส่งออกน้ำมันได้เช่นกัน คำประกาศที่ว่าก็เลยถูกตีความว่า หมายถึงอิหร่านพร้อมแล้วที่จะตอบโต้มาตรการกดดันของอเมริกา ด้วยการ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” อันเป็นช่องทางที่ปริมาณน้ำมันดิบไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของโลก หรือ 35 เปอร์เซ็นต์ของน้ำมันที่ค้าขายด้วยการขนส่งทางทะเล ต้องอาศัยช่องทางที่ว่านี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
อีกทั้งเมื่อผู้บัญชาการกองกำลังหน่วยกัดส์ (Quds Force) ของกองทัพปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) “พลตรีกาซเซ็ม โซเลมานี” (Qasem Soleimani) ได้ออกมาขานรับคำพูด คำประกาศของประธานาธิบดีตัวเองแบบเป็นเรื่อง เป็นราว ว่ากำลังทหารของอิหร่านพร้อมแล้วที่จะตอบสนองความต้องการของผู้นำอิหร่าน ที่ออกมาได้อย่างถูกต้อง ถูกจังหวะ แบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน พรวดเดียวเท่านั้น...ราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) และยูเอส เบนช์มาร์ค ก็พุ่งพรวดไปถึง 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อช่วงวันพุธ ( 4 ก.ค.) ที่ผ่านมา ถือเป็นการขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในช่วงรอบ 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าก่อนหน้านั้น “ทรัมป์บ้า” จะเคยยกหูโทรศัพท์ไปสั่งให้มกุฎราชกุมาร “MbS” แห่งซาอุฯ ผลิตน้ำมันเพิ่ม เพื่อชดเชยปริมาณน้ำมันในตลาดที่อาจขาดหายไปเพราะการแซงชั่นอิหร่าน รวมทั้งรัสเซียเองก็พร้อมจะผลิตน้ำมันเพิ่มเพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้ระเบิดเถิดเทิงจนเกินไป อันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก แต่ด้วยความหวาดกลัวว่า ถ้าหาก “ช่องแคบฮอร์มุซ” เกิดถูกปิดขึ้นมาจริงๆ โลกทั้งโลกย่อมต้อง “ซวย” ไปด้วยอย่างมิพึงต้องสงสัย การดึงราคาน้ำมันให้ลดต่ำลงมา อยู่ในระดับที่สมเหตุ สมผล จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม...โฆษกศูนย์บัญชาการกลาง กองกำลังทหารสหรัฐฯ (US Military Central Command) “ร้อยเอกบิล เออร์บัน” (Bill Urban) ก็ได้ออกมาปลอบอก-ปลอบใจ บรรดาผู้ซื้อ-ผู้ขายน้ำมันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หลังคำประกาศของผู้นำอิหร่านไม่กี่ชั่วโมง ว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรพร้อมแล้วที่จะให้หลักประกัน ต่อเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อการค้าขายตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือพร้อมที่จะให้ความมั่นอก-มั่นใจต่อการขนส่งน้ำมันในบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ โดยไม่ต้องไปสนใจคำขู่ใดๆ ของอิหร่านอีกต่อไป พูดง่ายๆ ว่า...พร้อมที่จะ “ออกอาวุธโต้” แบบฉับพลัน-ทันที ถ้าหากอิหร่านคิดจะปฏิบัติการทางทหารใดๆ ต่อพื้นที่ในอาณาบริเวณนี้...
แต่ปัญหามันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า...อิหร่านมีศักยภาพพอที่จะ “ปิดช่องแคบฮอร์มุซ” ได้-หรือไม่ได้แต่เพียงเท่านั้น แต่มันอยู่ที่ “บรรยากาศทางการค้า” ของโลกทั้งโลกในขณะนี้ ที่ต้องปั่นป่วน วุ่นวาย ชนิดไม่หยุด-ไม่หย่อน อันเนื่องมาจาก “ทรัมป์บ้า” นั่นเองเป็นต้นเหตุ หรือเป็นเหตุปัจจัย ในแทบทุกเรื่อง ทุกราว ชนิดไม่ว่าผู้นำอเมริการายนี้จะรักใคร-เกลียดใคร จะหันไปไล่เตะ ไล่ถีบ หรือหันไปแหกทวารดม ใครต่อใคร แต่โลกทั้งโลก...กลับมีอันต้อง “ซวย” ไปด้วยกันทั้งหมด ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตามที่เคยคิดจะมอบรางวัล “โนเบิล ไพรซ์เพื่อสันติภาพ” ให้ “ทรัมป์บ้า” คงต้องเอาหัวไปมุดชักโครกซะแต่เนิ่นๆ ยิ่งถ้าบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ยังไม่คิดจะจับ “ทรัมป์บ้า” ไปกล้อนหัว โกนผม ให้รู้สึกรู้สาซะบ้าง ในช่วงระหว่างการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ โลกทั้งโลกย่อมหนีไม่พ้นต้องเดือดร้อน วุ่นวาย อย่างไม่หยุด-ไม่หย่อน ไปตลอดทั้งเทอม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...