เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูประเทศอเมริกาให้ลึกๆ ลงไปมั่ง ว่าระหว่างที่ผู้นำประเทศกำลังไล่ฟัด ไล่งับกับใครต่อใครเขาไปทั่วทั้งโลก ชาวอเมริกันที่ถูกยกให้ “ต้องมาก่อน” ใครๆ เขาไปซะทั้งหมด จะอยู่ดี-มีสุขกันไปถึงขั้นไหน หรือเอาเข้าจริงๆ แล้วกลับต้องอมทุกข์ อมโศก หรือแม้กระทั่งต้องหันมาไล่ฟัด ไล่งับกันเอง ตาม “กรรม” ที่ผู้นำประเทศได้ก่อกำเนิดเอาไว้...
ซึ่งงานนี้...ถ้าใครเคยได้อ่านข้อเขียนบทความชิ้นล่าสุด (27 มิ.ย.) ของผู้สื่อข่าวสำนักรอยเตอร์ “นายโจนาธาน บาคแมน” (Jonathan Bachman) เรื่อง “New American Civil War? Some people think it’s already begun.” หรือ “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่ของอเมริกา ที่ผู้คนบางรายคิดว่ามันได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว” ก็คงพอนึกภาพออกว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในสังคมอเมริกัน คือเอาไป-เอามา...ความขัดแย้งแตกต่างทางความคิด ความเห็น ในหมู่อเมริกันชนทุกวันนี้ เผลอๆ...อาจจะหนักซะยิ่งกว่าความขัดแย้งระหว่าง “เหลืองๆ-แดงๆ” ในบ้านเรา เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า...
คือถึงขั้นที่นักคิด นักวิชาการด้านกฎหมายชื่อดังของอเมริกา อย่างศาสตราจารย์ “เกลนน์ เรย์โนลด์ส” (Glenn Harlan Reynolds) แห่งมหาวิทยาลัยเทนเนสซี ถึงกับออกมาตั้งข้อสังเกตกันแบบจริงๆ จังๆ เอาเลยว่า แนวโน้มที่สังคมอเมริกันทุกวันนี้กำลังเดินไปสู่ “สงครามกลางเมืองครั้งใหม่” นั้น มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ไม่ต่างไปจากคอลัมนิสต์ของ “Bloomberg” “นายโธมัส แชลเลอร์” (Thomas Schaller) ที่สรุปเอาไว้ว่า “สงครามกลางเมืองแบบอ่อนๆ” ได้เกิดขึ้นแล้วในอเมริกา ไม่ต่างไปจากนักเขียนและนักข่าวพูลิตเซอร์ อย่าง “ทอม ริกส์” (Tom Ricks) ที่เห็นพ้องต้องกันว่า... “ประเทศเรากำลังโน้มเอียงไปในแนวนั้น”
ยิ่งเมื่อมีการนำเอาประเด็นดังกล่าวไปสอบถามชาวอเมริกันกันถึงที่ โดยสถาบันสำรวจวิจัยความคิดเห็นภายในประเทศ ที่ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างจากชาวอเมริกันผู้นิยมพรรครีพับลิกัน 37 เปอร์เซ็นต์ ผู้นิยมเดโมแครต 32 เปอร์เซ็นต์ และผู้ที่ไม่นิยมพรรคใดพรรคหนึ่งอีก 26 เปอร์เซ็นต์ ผลที่ออกมาก็คือ...มีชาวอเมริกันถึง 31 เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อว่า สงครามกลางเมืองครั้งใหม่ หรือครั้งที่สองของอเมริกา กำลังจะอุบัติขึ้นในช่วงระยะใกล้ๆ นี้ แม้แต่สมาชิกรัฐสภาจากไอโอวา อย่าง “สตีฟ คิง” (Steve King) ก็ยังเป็นรายหนึ่งที่เชื่อไปในแนวนี้ โดยที่กว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 59 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสำรวจ ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า บรรยากาศหรือแนวโน้มดังกล่าวนั้น มีที่มาจากนโยบายต่างๆ นานาของผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั่นแล...
โดยเฉพาะนโยบายที่มุ่งไล่ฟัด ไล่งับ บรรดาผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองแบบชนิดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนา หรือนโยบายที่เรียกๆ กันว่า “ความอดทนเป็นศูนย์” (Zero Tolerance) ซึ่งก่อให้เกิดภาพของการแยกแม่ แยกลูก ให้เป็นที่อเนจอนาถต่อสายตาชาวอเมริกันเป็นจำนวนไม่น้อย ถึงขั้นเคยบุกยึดสำนักงาน “ICE” (Immigration and Custom Enforcement) ที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน มาแล้ว และเป็นตัวจุดไฟความโกรธให้กับสมาชิกพรรคเดโมแครตแห่งแคลิฟอร์เนีย อย่าง “แมกซีน วอเตอร์ส” (Maxine Waters) ถึงขั้นออกมาเรียกร้องรณรงค์กันในระดับ... “ถ้าหากคุณเห็นใครก็ตาม ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ ไม่ว่าที่ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน คุณจงรีบออกมาจากร้าน แล้วรวบรวมผู้คนเพื่อต่อต้านคนเหล่านั้น บอกพวกเขาว่า เขาไม่เป็นที่ต้อนรับอีกต่อไป...” เรียกว่า...ลอกเลียนแบบกรรมวิธี “เป่านกหวีด” ในบ้านเราแบบเห็นๆ...
แม้ว่าการณรงค์เรียกร้องของ “แมกซีน วอเตอร์ส” นั้น จะถูกวิจารณ์ว่าแรงไป เวอร์ไป แต่ก็ดูจะตอบสนองต่ออารมณ์ของชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย ถึงได้เกิดเหตุการณ์การเชิญเลขานุการทำเนียบขาว “นางซาราห์ แซนเดอร์ส” (Sarah Sanders) ออกจากร้านอาหารที่เวอร์จิเนีย ตามมาแบบติดๆ ยิ่งไปกว่านั้น...บรรดา “คนดัง” ประเภทดารา นักร้อง นักแสดง ก็ดูจะออกมาขานรับความแรง ความเวอร์ ในลักษณะดังกล่าวชนิดรายแล้ว รายเล่า ไม่เพียงระดับแต่พระเอกสุดหล่อ อย่าง “โรเบิร์ต เดอ นิโร” (Robert De Niro)ที่ขึ้นไปประกาศบนเวทีโทนี อะวอร์ดส ว่า “ขอพูดคำเดียวว่า...F - -k Trump” อะไรประมาณนั้น ยังตามมาด้วย “ปีเตอร์ ฟอนดา” (Peter Fonda) พระเอก “จอห์น คูแซก” (John Cusack) ที่ทั้งเวอร์ ทั้งแรง ไม่น้อยไปกว่ากัน เช่นเสนอให้ล้อมโรงเรียนที่ลูกชายทรัมป์ถูกส่งไปเรียนหนังสือเอาเลยก็ยังมี ส่วน “เซิร์จ แทนเคียน” (Serj Tankian) นักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดัง ถึงกับเสนอให้ “ปฏิวัติอย่างสันติ” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง ในสังคมอเมริกันช่วงนี้...มันเลยไหลไปผสมกับ “ความไม่เท่าเทียมกัน” และ “การรังเกียจเหยียดผิว” ที่มีมาก่อนหน้านั้นมานานแล้ว สำหรับความไม่เท่าเทียมกันในสังคมอเมริกันนั้น ก็เพิ่งจะมี “รายงานล่าสุด” ของหน่วยงานสหประชาชาติ คือ “UN Special Rapporteur” ความยาวประมาณ 20 หน้ากระดาษ ที่สรุปเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ประเทศอเมริกา...คือประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันของรายได้สูงที่สุดในหมู่ประเทศตะวันตก หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว” แถมผู้จัดทำรายงานฉบับดังกล่าว คือ “นายฟิลิป อัลสตัน” (Philip Alston) ได้ออกมาสำทับเอาไว้ด้วยว่า บรรดาชาวอเมริกันในขณะนี้ จำนวนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน ตกอยู่ในสภาพ “คนจน” ตามมาตรฐานสหประชาชาติ โดยที่ 18.5 ล้านคนนั้น จนแบบชนิดรุนแรง อีก 5.3 ล้านคนจนพอๆ กับบรรดาคนจนในประเทศโลกที่สาม ยังไงยังงั้น และการที่นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ของรัฐบาลอเมริกันยุค “ทรัมป์บ้า” นั้น มันดันหมายถึงชาวอเมริกันประเภทรวยๆ ซะเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอเมริกันจนๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เช่นนโยบายช่วยเหลือหนี้ภาษีพลังงานของบรรดาบรรษัทพลังงานข้ามชาติทั้งหลาย เป็นมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์ เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว จนแทบไม่เหลือเงินที่จะเอามาช่วยเหลือปรับปรุงสวัสดิการ การประกันสุขภาพ ให้กับบรรดาคนจน ตลอดไปจนชนชั้นกลางได้เลย สิ่งเหล่านี้...ก็ยิ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการหาทางออกด้วย “ความรุนแรง” หนักขึ้นไปอีก...
ส่วนการ “เหยียดผิว” ที่เคยส่งผลให้เกิด “สงครามกลางเมืองครั้งแรก” ในประวัติศาสตร์อเมริกามาก่อนนั้น ทุกวันนี้...ก็ยังไม่ได้จางหาย ผ่อนคลายลงไปอย่างเท่าที่ควรจะเป็น แถมยังลุกลามไปถึงชาวเม็กซิกัน ชาวเอเชีย ฯลฯ ผู้อพยพหลบหนีเข้าเมือง ไม่ใช่แต่เฉพาะพวกแอฟริกัน-อเมริกันแต่เพียงเท่านั้น สิ่งเหล่านี้...ก็เลยยิ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นให้กองไฟที่เคยราๆ ไปบ้างแล้ว ลุกพึ่บๆ พั่บๆ ขึ้นมาใหม่ เริ่มเกิดการปะทะ ขัดแย้ง ระหว่างพวกที่อยากให้รื้ออนุสาวรีย์ของผู้ที่สนับสนุนการมีทาส แม้แต่อนุสาวรีย์ของนายพลฝ่ายใต้ “โรเบิร์ต อี.ลี” (Robert E.Lee) ก็ไม่มีข้อยกเว้นส่งผลให้พวก “คนขาวฝ่ายใต้” ที่เชิดชูคนเหล่านี้ในฐานะวีรบุรุษ ต้องลุกขึ้นมาไล่เตะ ไล่ถีบ ซึ่งกันและกัน แนวโน้มบรรยากาศ “สงครามกลางเมือง” หรือ “สงครามกลางเมืองแบบอ่อนๆ” มันจึงอุบัติขึ้นมาท่ามกลางความพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน เอาเลยก็ว่าได้...