xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อความเชื่อ ความไว้วางใจ ล่มสลาย

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>จัตุรัส Kim Il-Sung</b>
วันนี้...ลองแวะๆ โฉบๆ ไปแถวๆ เกาหลีเหนือกันดีมั้ยทั่น!!! เพราะหลังจาก “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์” หันมาจูบปากกันที่สิงคโปร์เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ถ้าฟังจากข่าวคราวที่สำนักข่าวรอยเตอร์ และบีบีซีเขาลองไปเก็บบรรยากาศสภาพความเป็นไปต่างๆ ในกรุงเปียงยาง หรือแม้แต่เมืองที่อยู่รอบนอกหลายต่อหลายเมือง เห็นว่า...แทบทุกสิ่งทุกอย่างทำท่าว่าจะเปลี่ยนไปแบบชนิดจาก “หลังตีน” เป็น “หน้ามือ” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

คือว่ากันว่า...บรรยากาศแห่งการป่าวร้องโฆษณา โปรปะกันดาที่เคยออกไปทางดุเดือดเลือดพล่าน โดยมีคุณพ่ออเมริกา ไปจนถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตกเป็นเป้าหมายแห่งการแสดงความเกลียดชัง การดุด่าว่ากล่าว ตำหนิ ประณาม ในแทบทุกเรื่องทุกกรณี โปสเตอร์ โปสการ์ด หรือแม้แต่แสตมป์ ที่เคยโชว์รูปขีปนาวุธเกาหลีเหนือกำลังใกล้จะหล่นใส่หัวอเมริกันชนในกรุงวอชิงตัน ฯลฯ อันเคยเป็นที่นิยมของชาวเกาหลีเหนือจำนวนมิใช่น้อย มาบัดนี้...แทบ “หายเกลี้ยง” ไปหมดทั้งแผง ไม่ว่าที่เคยตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัส “Kim Il-Sung” ที่เคยฉายสไลด์คั่นโฆษณาทางทีวี หรือที่เคยเผยแพร่เป็นภาพข่าวทางหนังสือพิมพ์ไปทั่วประเทศ ฯลฯ แต่หลังจาก “คิมน้อย” ตัดสินใจจูบปาก “ทรัมป์บ้า” ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็ออกไปทางชื่นมื่น ชื่นสะดือ สุ้มเสียงที่ปรากฏอยู่ในเกาหลีเหนือ ไม่เพียงแต่พยายามแสดงอาการไม่คิดจะเป็นปรปักษ์ใดๆ กับจักรวรรดินิยมอเมริกาและพรรคพวกบริวารอย่างที่เคยเป็นมานับเป็นทศวรรษๆ ยังหันไปแสดงความปลาบปลื้มยินดีกับความเป็นไปได้ของการรวม 2 เกาหลีเข้าด้วยกัน การหันไปกระตุ้นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การปลุกเร้าให้ชาวเกาหลีเหนือมุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เป็นต้น...

เรียกว่า...เล่นเอาบรรดาพวกบริษัททัวร์ ที่ชอบพาใครต่อใครไปเที่ยวเกาหลีเหนือ ต่างสังเกตเห็นอาการความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปด้วยกันทั้งสิ้น อย่าง “นายRowan Beard” ผู้จัดการบริษัท “Young Pioneer Tours” ที่ถึงกับสรุปว่า “โปสเตอร์ต่อต้านอเมริกันที่เคยมีอยู่แทบทุกหนทุกแห่งในเกาหลีเหนือ ได้หายไปหมดแล้ว” เช่นเดียวกับ “Simon Cockerell” แห่งบริษัท “Koryo Tours” ที่บอกกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ว่า... “แม้แต่โปสการ์ด แสตมป์ ที่เคยมีรูปจรวดเกาหลีเหนือพุ่งเข้าใส่กรุงวอชิงตัน ซึ่งนักท่องเที่ยวเคยหาซื้อได้สบายๆ ขณะนี้ก็ถูกเก็บเกลี้ยงไปแล้วเช่นกัน” ส่วน “Peter Ward” ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือ และยังเป็นนักเขียนให้กับสำนักข่าว “NK News” สรุปว่า... “ความเป็นปรปักษ์กับอเมริกากำลังเลือนหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ และจอทีวีในเกาหลีเหนือ จนอเมริกากำลังถูกทำให้เป็นประเทศธรรมดาๆ เหมือนประเทศอื่นๆทั่วไป เพราะแม้แต่ข่าวเรื่องอเมริกาถอนตัวออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หนังสือพิมพ์ทางการอย่าง Rodong Sinmun ยังพยายามเสนอข่าวเรื่องนี้ออกไปทางกลางๆ ไม่ได้คิดจะเยาะเย้ย ด่าว่า ประณาม เหมือนอย่างเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว...”

พูดง่ายๆ ว่า...เมื่อ “คิมน้อย” กล้าจูบปากกับ “ทรัมป์บ้า” บรรดาชาวเกาหลีเหนือทั้งหลายก็กล้าพอที่จะแสดงมิตรจิต มิตรใจ แสดงออกถึงความจริงจัง จริงใจกับอเมริกา จนบรรยากาศความเป็นปรปักษ์ ปฏิปักษ์แทบหายเกลี้ยงไปแบบฉับพลัน-ทันที แต่ครั้น...เมื่อลองย้อนกลับหันมาดูคุณพ่ออเมริกากันมั่ง หลังจาก “ทรัมป์บ้า” ได้ทวิตให้บรรดาอเมริกันชน “นอนหลับฝันดี” หรือนอนหลับสบายๆ เพราะไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวจรวดของ “คิมน้อย” หล่นใส่หัวกบาลต่ออีกไปแล้ว ในช่วงวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่พอถึงวันศุกร์ที่ 22 มิถุนาฯ หรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกจากทำเนียบขาวจะออกแถลงการณ์ยืนยันถึง “ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ” ว่ายังคงเป็นอะไรที่ร้ายแรงและไม่ปกติ ตัวของ “ทรัมป์บ้า” เองได้ตัดสินใจตวัดปากกาเซ็นอนุมัติให้มีการยืดเวลา “แซงชั่นเกาหลีเหนือ” ต่อไปอีก 1 ปีเต็มๆ หรือยังมุ่งที่จะบดขยี้ ต่อต้าน เล่นงานเกาหลีเหนือ อย่างมิยอมลดละ ชนิดเล่นเอาใครต่อใคร ไม่ใช่แต่เฉพาะ “คิมน้อย” และชาวเกาหลีเหนือเท่านั้น ออกอาการมึนส์ส์ส์งงง์ง์ง์กันไปแทบทั้งบาง...

กระทั่งนักเขียนและนักวิชาการชาวอเมริกัน อย่าง “James Petras” ยังอดไม่ได้ที่จะออกสรุปว่า...นี่คือการ “ตีลังกากลับ” (Somersault) ทางนโยบาย ที่เล่นเอาใครต่อใครงงกันเป็นไก่ตาแตก และแทนที่จะหันไป “วิเคราะห์นโยบาย” ของ “ทรัมป์” ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเลยต้องหันมา “วิเคราะห์ทรัมป์” หรือหันมาเจาะลึกถึงพฤติกรรม ทัศนคติ และอากัปกิริยาของผู้นำอเมริการายนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ในขณะที่ “Wayne Madsen” นักเขียนและนักข่าวของ “Press TV” มองว่า สิ่งเหล่านี้ถือเป็นลักษณะอาการของผู้ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย (Erratic) หรือ “จิตใจไม่นิ่ง” (Mentally Unbalance) แต่สำหรับ “Petras” กลับมองลึกไปกว่านั้น คือมองว่า...เป็นลักษณะอาการที่นักจิตวิเคราะห์ทางการเมืองเรียกว่า “โรคจิตคลุ้มคลั่ง” (Manic Depressive) แบบเดี๋ยวคุ้มดี คุ้มร้าย หรือเดี๋ยวสุข เดี๋ยวซึมเศร้า อะไรประมาณนั้น พูดง่ายๆ...ก็คือ “บ้า” หรือ “บ้าไปแล้ว” นั่นเอง...

แต่ถ้าหาก “ทรัมป์” ยังไม่ได้บ้า หรือไม่ถึงกับบ้า...นักวิชาการอย่าง “นายJames Petras” ก็พยายามหาทฤษฎีมาอธิบายเอาไว้อีกเช่นกัน เช่น อาจเป็นเพราะอิทธิพลของพวก “สุดโต่ง” (Ultra-Neoconservative) ในรัฐบาลอเมริกัน ที่พยายามหันซ้าย-หันขวา ดึงไป-ดึงมา จนประธานาธิบดีอเมริกันแทบไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง เกิดอาการกลับไป-กลับมา เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย อันอาจสะท้อนให้เห็นว่า สภาพการบริหารภายในคณะรัฐบาล เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านมิใช่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ ทุกๆ ผู้เชี่ยวชาญ และแม้แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญใดๆ เอาเลยก็ยังได้ ต่างล้วนเห็นพ้องต้องกันไปในแนวทางเดียวกันอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า “อะไรก็ตามที่ทรัมป์พูดออกมาในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เชื่อไม่ได้ในวันหน้า” ด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง นั่นแล...

ด้วยเหตุนี้...โลกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของประมุขโลก ซึ่งดันมีอาการคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดี-เดี๋ยวร้าย จึงย่อมกลายเป็น “โลกที่อันตราย” หรือโลกที่บรรดาความเชื่อ ความไว้วางใจทั้งหลาย อันเป็นสิ่งรองรับกฎ ระเบียบ และกติกาต่างๆ กำลังเข้าสู่ภาวะแห่งการล่มสลาย พังทลาย จนบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมโลกทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องหาทางร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมเร่งกอบกู้ฟื้นฟู “ระเบียบโลก” ขึ้นมาใหม่โดยด่วน ก่อนที่จะซวยกันไปทั้งโลก หรือฉิบหาย วายวอดกันไปทั้งโลกเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...


กำลังโหลดความคิดเห็น