สงครามการค้าผสมกับสงครามน้ำลายเริ่มส่งผลให้เห็นแล้วว่าถ้ายังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ เจ็บตัวกันทุกฝ่าย และสหรัฐฯ ซึ่งเปิดฉากรบด้วยการตั้งกำแพงภาษี จะโดนรุมกินโต๊ะรอบทิศ จุดจบจะเป็นอย่างไร เดาทางยาก แต่ไม่ดีแน่
เอาเป็นว่า เหมือนกับคนห้าว 1 คน เอาเชือกผูกข้อมือ ล่ามกับคนอีกหลายคน ถือมีดคนละเล่ม ผลัดกันแทง คงเดาได้ว่าสุดท้ายสิงห์เดี่ยวนั่นแหละอาจสิ้นฤทธิ์ก่อน
สิงห์เดี่ยวห้าวก็คือโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เหลือคือ จีน รัสเซีย แคนาดา เม็กซิโก สมาชิกของประชาคมยุโรป ตุรกี อินเดีย ญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ ที่กล้าใช้มาตรการตอบโต้กับสหรัฐฯ ถ้าเป็นเดี่ยวๆ ประเทศเล็กๆ อาจไม่กล้าหือ รวมกันแล้วน่าลุ้นมาก
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับในโลก มีผู้บริโภคมีเงินซื้อสินค้า แต่หนี้ครัวเรือนมากไม่ธรรมดา ประเทศเป็นลูกหนี้รายใหญ่อันดับ 1 ชาตินี้ไม่มีวันใช้ได้หมดสิ้น ตามมาด้วยจีนซึ่งมีทรัพยากร มีเงิน เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ
จีนจะแซงหน้าเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจแทนสหรัฐฯ อีกไม่กี่ปีนี้แล้ว หลังจากใช้เวลาประมาณ 30 กว่าปี พัฒนาจากระบอบคอมมิวนิสต์จนเป็นประเทศทันสมัยมีเทคโนโลยีที่ก๊อบมาและพัฒนาเองจนประเทศอื่นมองด้วยความพิศวงว่าทำได้ไง
ก่อนหน้านี้คนจีนมีเพียงจักรยาน ชุดเหมาสีน้ำเงินเข้มสวมใส่ทั่วประเทศ ทุกวันนี้แต่ละเมืองมีอาคารสมัยใหม่ล้ำยุค รถยนต์มีทุกแห่ง รถไฟความเร็วสูงมีเครือข่ายกว้างใหญ่ที่สุดในโลก แต่ละปีมีมหาเศรษฐีเงินร้อยล้าน พันล้านเพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมาการลงทุนโดยตรงของบริษัทจากจีนในประเทศสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในปีนี้ซึ่งมูลค่าดิ่งถึง 92 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์อันไม่ราบรื่น จากมูลค่าการลงทุน 26.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2016 ก็ลดลงต่อเนื่อง
ในครึ่งปีแรกของ 2017 มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 24.3 พันล้านเหรียญ แต่ลดฮวบฮาบในครึ่งปีหลังเหลือเพียง 5 พันล้านดอลลาร์ และในครึ่งปีแรกของ 2018 ลดเหลือ 1.8 พันล้านดอลลาร์แค่นั้น สถานการณ์ในครึ่งปีหลังของ 2018 แทบไม่ต้องเดา
จากนี้ไป การขออนุมัติจะยากกว่าเดิมเมื่อสหรัฐฯ จะอ้าง “ความมั่นคง” ในการยอมให้บริษัทของจีนลงทุนหรือซื้อกิจการในบริษัทอเมริกันซึ่งมีสินค้าเทคโนโลยีและความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าจีนก็ได้เปรียบอย่างมาก ขณะที่บริษัทสหรัฐฯ มีปัญหา
เช่นกัน การลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ ในจีนก็จะเผชิญความยากลำบากในการขออนุมัติ บริษัทที่ผลิตสินค้าในจีนปัจจุบันจะต้องเผชิญกับราคาที่ต้องแพงขึ้นเมื่อส่งเข้าไปสหรัฐฯ เช่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ต่างๆ
ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนเริ่มเข้มงวดกับการลงทุนในต่างประเทศโดยบริษัทของจีน ในกิจการอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และธุรกิจสถานบันเทิง สันทนาการ มีทั้งการควบคุมการนำเงินตราต่างประเทศออก โดยไม่ให้บริษัทขนาดใหญ่ลงทุนเกินตัว
เมื่อเปิดศึกการค้า กระสุนนัดแรกเริ่มโดยสหรัฐฯ จีนตอบสนองทันควัน ด้วยจำนวนเบาะๆ เท่ากันคือ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ จะเพิ่มอีก 2 แสนล้านหรือไม่ขึ้นอยู่กับสหรัฐฯ ว่าจะเอาจริงแค่ไหน หรือเป็นเพียงคำขู่หลังจากทุกประเทศตอบโต้เอาจริง
ล่าสุด ตุรกีซึ่งเป็นพันธมิตรนาโต และเป็นเพื่อนรักเพื่อนแค้นของสหรัฐฯ ก็ประกาศตอบโต้ศึกการค้า ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เช่นถ่านหิน กระดาษ ลูกวอลนัท ยาสูบ ข้าว วิสกี้ และรถยนต์ มูลค่า 267 ล้านเหรียญ
“ตุรกีมีจุดยืนที่จะตอบโต้กับท่าทีของสหรัฐฯ อย่างจริงจัง เราจะไม่ยอมให้สหรัฐฯ ยกเอาเราเป็นข้ออ้างว่าเราเป็นต้นเหตุของปัญหาของสหรัฐฯ” นั่นเป็นคำประกาศของรัฐมนตรีเศรษฐกิจของตุรกี นายนิฮัท เซเบคกี้ หลังจากการเจรจากับสหรัฐฯ ล้มเหลว
ตุรกีเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเหล็กกล้ามากเป็นอันดับ 8 ของโลก และสหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าเหล็กของตุรกี การตั้งกำแพงภาษีเริ่มโดยสหรัฐฯ จึงส่งผลกระทบต่อการส่งออก ผู้ใช้ในสหรัฐฯ จำเป็นต้องจ่ายแพง ถ้ายังซื้ออยู่
ที่น่าสนใจ และหนักหน่วงไม่น้อยคือประชาคมยุโรป ที่จะประกาศมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เบื้องต้นเป็นสินค้ามูลค่า 2.8 พันล้านยูโร หรือ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่นำเข้ายุโรป ซึ่งจะมีมอเตอร์ไซค์ บุหรี่ เนยถั่วลิสง น้ำส้ม
นอกจากนั้นก็จะเป็น เครื่องยนต์สำหรับเรือ กางเกงยีน เหล้าเบอร์เบิ้น “เราไม่อยากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่าเป็นความจำเป็น แต่เป็นผลจากการเริ่มต้นกระทำฝ่ายเดียวโดยสหรัฐฯ ที่ตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม”
นั่นเป็นคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าประชาคมยุโรป เซซิเลีย มาล์มสตรอม นอกจากนั้นกลุ่มอียูยังได้ยื่นเรื่องไปฟ้ององค์การการค้าโลกเกี่ยวกับพฤติกรรมกีดกันการค้าโดยสหรัฐฯ ถ้ายังไม่จัดการแก้ไขปัญหาหรือบรรลุข้อตกลง ก็จะมีอีกรอบ
ยุโรปคาดว่าระลอกใหม่จะเกี่ยวโยงสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 3.7 พันล้านยูโร หรือ 4.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมี 160 รายการเช่น เตียงอาบแดด กระดาษชำระ สินค้ากระเบื้องเคลือบ และกางเกงคอร์ดูรอย ซึ่งจะทำให้การส่งออกจากสหรัฐฯ ลำบาก
โดยรวมแล้ว สินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ จะมีจำนวนลดลง ก่อนหน้านี้เม็กซิโกก็ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐฯ เช่น เนื้อสุกร แอปเปิล มันฝรั่ง เหล้าเบอร์เบิ้นและเนยแข็ง ขณะที่แคนาดาก็เล็งเป้าขึ้นภาษีสหรัฐฯ รวม 13 พันล้านดอลลาร์
กองเชียร์ของทรัมป์ยังเสียงดังอยู่ ต้องรอดูว่าถ้าผลกระทบไปโดนฐานเสียงเช่นชาวนา เกษตรกร ผู้เลี้ยงหมู กิจการอื่นๆ จะทำให้ทรัมป์ต้องคิดใหม่ทำใหม่หรือไม่