xs
xsm
sm
md
lg

สันติภาพและการเตรียมรบใหญ่

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ กับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา</b>
ก็เป็นอันเสร็จสิ้นลงไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว...สำหรับการพบปะเจรจา จับเข่า จับหัวเหน่า ระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับ “คิมน้อย” ที่สิงคโปร์ ไม่ได้มีคำว่า “มนุษย์จรวด” (Rocket Man) หรือคำว่า “เฒ่าเพี้ยน” (Dotard) ให้ต่างฝ่ายต่างต้องกระเทือนซางต่อไปอีก มีแต่การปรับสภาพ ปรับอากัปกิริยาการแสดงออกทางบุคลิกภาพ ที่เป็นไปในแนว “นายแสนดี วจีไพเราะ” อย่างชนิดน่าชื่นมื่น ชื่นสะดือไปด้วยกันทั้งสิ้น...

สรุปแล้ว...ถ้าจะว่ากันให้ครบถ้วนกระบวนความ ครอบคลุมไปในทุกๆ ด้าน คงต้องถือเป็น “ชัยชนะแห่งสันติภาพ” นั่นแหละทั่น อย่าถึงกับต้องไปเฉพาะเจาะจงว่าเป็นความสำเร็จของผู้หนึ่ง ผู้ใด ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ถือซะว่า...ใครก็ตามที่ยืนหยัด ยืนยัน อยู่ใน “แนวทางสันติภาพ” ย่อมต้องนับเป็นผู้ชนะไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ใช่แต่เฉพาะเกาหลีเหนือ หรืออเมริกา แต่ยังต้องรวมไปถึงจีน รัสเซีย เกาหลีใต้ ที่มีส่วนร่วม และมีส่วนสำคัญเอามากๆ อันทำให้ภาพที่ถูกถือเป็น “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์” ของคาบสมุทรเกาหลี อุบัติขึ้นมา ณ เวทีเจรจาที่สิงคโปร์ ได้อย่างสอดคล้องกับสิ่งที่ทุกคนรอคอย...

แต่ก็นั่นแหละ...สันติภาพในระดับนี้ ก็ยังคงต้องเป็นไปในความหมายแบบกว้างๆ ออกไปทาง “สัญลักษณ์” หรือทางนามธรรมที่ยังไม่ถึงกับมีรูปธรรมพอที่จะจับต้องได้แบบถนัดถนี่ซักเท่าไหร่ โดยเฉพาะถ้าพิจารณาจาก “ข้อตกลง 4 ข้อ” ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์คราวนี้ ที่อาจดูเป็นรูป เป็นร่างขึ้นมามั่ง อาจต้องหันไปดูจาก “คำพูด” และ “การกระทำ” ของทั้งคู่ ภายในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของผู้นำอเมริกา ที่ชักเริ่มเห็นว่า “การซ้อมรบ” ระหว่างอเมริกากับเกาหลีใต้ที่ถูกระบุว่าแพงแสนแพง อาจจะ “ไม่จำเป็น” อีกต่อไป รวมทั้งกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ที่คงต้องมีขั้นตอน รายละเอียดอีกมากมายเยอะแยะ...

นอกจากนั้น...สันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ย่อมต้องถือเป็นส่วนหนึ่ง หรือองค์ประกอบของอีกหลายๆ ส่วน ที่ล้วนแต่มีผลเกี่ยวพัน ยึดโยง มี “ปฏิสัมพันธ์” ระหว่างกันและกันอย่างมิอาจปฏิเสธได้ พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากเป็นเพียงแค่การยุติแนวรบในคาบสมุทรเกาหลี เพียงเพื่อจะได้ไปเปิดฉากแนวรบในตะวันออกกลาง หรือในยุโรปตะวันออก ให้ถนัดถนี่ยิ่งๆ ขึ้นไป อันนั้น...คงไม่ถือเป็นสันติภาพอันมั่นคง แข็งแรง ยั่งยืน ถาวรซักเท่าไหร่ เพราะสุดท้าย...ผลกระทบที่มันสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาชนิดเชื่อมโยงกันไปทั่วทั้งหมด ย่อมทำให้ความหมายของช่วงเวลาแห่ง “สันติภาพ” คงไม่ต่างอะไรไปจากช่วงเวลาแห่ง “การเตรียมรบใหญ่” ที่จะต้องตามมาในอีกไม่นาน-ไม่ช้านั่นเอง...

เพราะในขณะที่ “ทรัมป์บ้า” หันมาเล่นบทนายแสนดี วจีไพเราะ กับ “คิมน้อย” แห่งเกาหลีเหนือ...แต่คงมิอาจปฏิเสธได้ว่า ในส่วนอื่นๆ “ทรัมป์บ้า” ก็ยังคงเป็น “ทรัมป์บ้า” อยู่อีกนั่นเอง ไม่ว่ากับจีน รัสเซีย ยุโรป หรือแคนาดา ฯลฯ และโดยเฉพาะกับอิหร่านการฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์แต่เพียงฝ่ายเดียว การคงกำลังทหารเอาไว้ในซีเรียแม้ภารกิจการขจัดผู้ก่อการร้ายจะเสร็จสิ้นลงไปแทบหมดแล้ว แต่การดึงเอาซาอุดีอาระเบีย อิสราเอล เข้าไปร่วมฉีกประเทศซีเรียออกเป็นชิ้นๆ การสนับสนุนให้อิสราเอลขยายขอบเขตสงครามเข้าไปในเลบานอน ปาเลสไตน์ และซีเรีย โดยมีอิหร่านเป็นเป้าหมาย การเสริมเติมกำลังในยุโรปตะวันออกด้านที่ติดกับรัสเซีย ไปจนถึงการเพิ่มความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้...ทำให้ความหมายของ “สันติภาพ” ในพื้นที่หนึ่ง พื้นที่ใด อาจไม่ต่างไปจาก “การเตรียมรบใหญ่” ที่มีโอกาสอุบัติขึ้นมาในทุกๆ พื้นที่ได้เสมอๆ...

ด้วยเหตุนี้...แม้บรรยากาศสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี ณ วันนี้ จะดูดี ดูน่าชื่นมื่น ชื่นสะดือ อยู่ตามสมควร แต่อย่างที่ “ผู้ปิดทองหลังพระ” อย่างประธานาธิบดี “มุน แจอิน” แห่งเกาหลีใต้ ท่านได้กล่าวเอาไว้ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคราวนี้นั่นแหละว่า... “นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น และยังมีอุปสรรคอีกมากมายรออยู่เบื้องหน้า แต่เราจะไม่ยอมถอยหลังกลับไปยังอดีต อันเป็นมรดกตกทอดแห่งความขัดแย้งในยุคสงครามเย็น และเราจะไม่ยอมแพ้บนเส้นทางอันหาญกล้าเหล่านี้...” คือยังคงต้องอาศัยการยืนหยัด ยืนยัน การยึดมั่นอยู่ในแนวทางสันติภาพอย่างมิอาจเบี่ยงเบนไปทางอื่น ยังต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความไว้วางใจ” ที่ต้องแพร่ขยายไปสู่ประชาคมระหว่างประเทศ ให้มากพอที่จะเป็นพื้นฐานรองรับ “ระเบียบโลก” อันมั่นคง แข็งแรง ไม่เปลี่ยนแปลง ผันแปรไปตามอารมณ์ ความรู้สึกของผู้นำรายหนึ่ง รายใด ไม่ว่าจะชาติมหาอำนาจ หรือชาติเล็ก ชาติน้อย ก็ตามแต่...

ดังนั้น...ก็อย่าเพิ่งไปกรี๊ดๆ กร๊าดๆ กับ “ทรัมป์บ้า” มากมายเกินไปนัก อย่าไปคิดยัดเยียดรางวัลโนเบล ไพรซ์ เพื่อสันติภาพ ให้กับผู้นำรายนี้ จนอาจเสียของ เสียรางวัล โดยใช่เหตุ แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้บรรยากาศสันติภาพ แม้จะเป็นแค่บางเสี้ยวบางส่วนก็ตามที แต่ถ้าหากมันสามารถช่วยให้ความเป็นพี่-เป็นน้อง ระหว่างชาวเกาหลี ไม่ว่าเหนือหรือใต้ มีโอกาสฟื้นคืนกลับมาได้บ้างแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ความไม่จำเป็นในการซ้อมรบระหว่างอเมริกาและเกาหลีใต้ ย่อมน่าจะนำไปสู่ความไม่จำเป็นที่จะต้องคงกำลังทหารอเมริกันจำนวนนับหมื่นๆ เอาไว้ในพื้นที่แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีระบบป้องกันขีปนาวุธชั้นสูง ที่ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความหวาดระแวงต่อเกาหลีเหนือ แต่ยังลามไปถึงจีนและรัสเซีย ที่พยายามผลักดันให้เกิด “สันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี” มาโดยตลอด ฯลฯ อันนี้นี่แหละ...ถ้าหากมันสามารถไปไกลได้ถึงขั้นนั้น จะลงรักปิดทอง จะสร้างอนุสาวรีย์ให้กับ “ทรัมป์บ้า” ในช่วงนั้น...ก็คงไม่ถึงกับสายจนเกินไป!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น