xs
xsm
sm
md
lg

สองเกาหลี - เบี้ยและเหยื่อสุดท้ายของซากสงครามเย็น?

เผยแพร่:   โดย: วิธาน บุญภูพันธ์ตันติ


ก่อนปี พ.ศ.2448 เกาหลีเป็นประเทศเอกราช มีกษัตริย์ปกครองต่อเนื่องมาหลายร้อยปี มีรากเหง้าและวัฒนธรรมของตนเอง แต่หลังจากนั้นถูกยึดครองโดยจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นถึงสี่สิบปีจนสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงและญี่ปุ่นพ่ายสงครามในปี 2488 แต่ความระทมทุกข์ของเกาหลีมิได้สิ้นสุด เมื่อต้องกลายเป็นเบี้ยตัวสำคัญเพื่อพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ระหว่างโลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ในเกมส์ที่เรียกกันว่าสงครามเย็น

หากจะถามคนเกาหลีว่าการปกครองที่กดขี่ทารุณของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น เมื่อเปรียบกับสงคราม เข่นฆ่าคนเชื้อชาติเดียวกันจนมีผู้เสียชีวิตถึง 5 ล้านคน และครึ่งหนึ่งเป็นชีวิตของพลเรือนเกาหลีทั้งเหนือและใต้ในสิ่งที่เรียกว่าสงครามเกาหลีนั้น สิ่งไหนที่น่าเจ็บปวดกว่ากัน ? คนเกาหลีคงตอบได้ไม่ง่าย

เมื่อมองย้อนอดีตและสงครามของคนเชื้อชาติเดียวกันระหว่างเกาหลีเหนือซึ่งยึดมั่นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ภายใต้ผู้นำคิมอิลซุง (พ.ศ. 2455-2537) และเกาหลีใต้ภายใต้ประธานาธิบดี ซิงมันรี (พ.ศ. 2448-2508) ต้องมองให้พ้นบริบทของความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน จึงจะเข้าใจสาเหตุที่แท้

เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 2488 ต่อมาในวันที่ 2 กันยายน สหภาพโซเวียตประกาศสงครามต่อจักรวรรดิญี่ปุ่นและเคลื่อนทัพเข้ายืดหมู่เกาะซาคะลินของญี่ปุ่น และคาบสมุทรเกาหลีตอนเหนือในทันที ญี่ปุ่นขณะนั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดขวางได้ ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็ส่งกำลังทหารเข้าครอบครองภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลีในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยตกลงร่วมกันว่าให้เส้นขนานที่ 38 เป็นเขตแดนชั่วคราวของการยึดครองิ ก่อนจะมีการเจรจารวมชาติระหว่างคนเกาหลีกันเองต่อไป แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายเช่นนั้นเมื่อมองสถานการณ์โลกในภาพรวมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และก่อนเกิดสงครามเกาหลี ระยะห้าปีระหว่างนี้มีเหตุการสำคัญมากมายที่เปลี่ยนดุลอำนาจการเมือง และภูมิรัฐศาสตร์โดยสิ้นเชิง

เยอรมันเป็นผู้แพ้สงคราม ถูกแบ่งเป็นเยอรมันตะวันตก และมีประเทศคอมมิวนิสต์ใหม่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันตก คือเยอรมันตะวันออก อังกฤษและฝรั่งเศสแม้จะชนะสงคราม แต่ได้รับความบอบช้ำมากจนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจชั้นสอง สหรัฐ อเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจเและผู้นำเดี่ยวของกลุ่มประเทศทุนนิยมตะวันตก ขณะที่สหภาพโซเวียตมุ่งขยายลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่โดยสนับสนุนรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ในเยอรมันตะวันออก โปแลนด์ ฮังการี เช็คโกสโลวะเกีย โรมาเนีย บัลแกเรีย อัลบาเนีย และยูโกสลาเวีย ยุโรปตะวันออกทั้งหมดจนจรดแหลมบัลข่านในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต ขณะเดียวกันก็เร่งขยายความสัมพันธ์กับอียิปต์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลกมุสลิมในขณะนั้น

ส่วนในเอเชีย สหภาพโซเวียตก็เร่งปักธงในอินเดียที่เพิ่งได้รับอิสรภาพและเกลียดชังอังกฤษ ใน จีนให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตุงที่กำลังขับเคี่ยวอย่างเข้มข้นในสงครามกลางเมืองกับพรรคกว๋ามินตั๋งของจอมพลเจียงไคเช็คที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นกัน ในเวียตนาม สหภาพโซเวียตหนุนโฮจิมินต์ในการทำสงครามอิสรภาพเพื่อแยกตัวจากฝรั่งเศสจนสามารถสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นปกครองเวียตนามเหนือ ในคาบสมุทรเกาหลีให้การสนับสนุนทางทหารและความช่วยเหลือแก่พรรคคอมมิวนิสต์ที่ปกครองพื้นที่เหนือเส้นขนานที่ 38 และต่อมาการเลือกตั้งของเกาหลีเหนือและใต้ในปี 2491 ทำให้การแบ่งแยกประเทศชัดเจนขึ้น

ความกลัวและเกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์เพิ่มระดับถึงที่สุดในกลุ่มประเทศทุน(เสรี) นิยม เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนชนะสงครามกลางเมืองและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อ 1 ตุลาคม 2492 ส่วนจอมพลเจียงไคเช็คหนีไปฟอร์โมซาและสถาปนาจีนคณะชาติและไม่ขึ้นต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน

ท่าทีตอบโต้จากสหรัฐฯ ชัดเจน ประธานาธิบดีทรูแมนได้ประกาศนโยบายขัดขวางสกัดกั้นอย่างเต็มที่ต่อการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในทุกรูปแบบและทุกที่ในโลก หรือที่รู้จักกันว่าลัทธิทรูแมน (Truman Doctrine) สงครามเย็นเต็มรูปแบบจึงเริ่มขึ้น

รูปลักษณ์สำคัญของสงครามเย็น คือการโฆษณาชวนเชื่อให้ร้ายฝ่ายตรงข้ามและยกย่องตนเองระหว่างโลกทุนนิยมนำโดยสหรัฐฯที่เรียกตนเองว่าฝ่ายเสรีนิยมและโลกคอมมิวนิสต์ภายใต้สหภาพโซเวียต การแบ่งฝ่ายที่ชัดเจนเป็นค่ายโลกเสรีและฝ่ายคอมมิวนิสต์ การแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ และการก่อสงครามในลักษณะตัวแทนที่แต่ละฝ่ายให้การหนุนหลัง เหล่านี้ได้นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรทางทหารนาโต้ของฝ่ายทุนนิยมที่คงอยู่จนปัจจุบัน และกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอของฝ่ายคอมมิวนิสต์ นอกจากนั้น สงครามโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นเครื่องมือหลักของสงครามเย็นได้พัฒนากลายเป็นเครื่องมีที่ทรงประสิทธิภาพในการทำลายฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองในทุกระดับ แม้แต่คู่แข่งทางการค้าและสังคม

เรื่องน่าขันคือ สหรัฐฯ ในฐานะผู้นำโลกทุน(เสรี)นิยม กลับตกเป็นเหยี่อสงครามนี้ก่อนใครอื่น ลัทธิแมคคาร์ธี(ล่าฝ่ายตรงข้าม/ล่าคอมมิวนีสต์ หรือการล่าแม่มด) กลับเป็นรอยด่างอย่างที่สุดในสังคมอเมริกัน และส่งผลถึงขนาดเปลี่ยนนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ โดยมีเกาหลีเป็นเหยื่อเดิมพันที่แสนเจ็บปวด

ลัทธิล่าคอมมิวนิสต์ (นักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าของไทยยุคนั้นนิยมเรียกว่าการปลุกผีคอมมิวนิสต์) เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงรุนแรงนับแต่ปี 2492 ที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้ครอบครองจีน โดยมีนายโจเซฟ แมคคาธี วุฒิสมาชิกหัวอนุรักษ์นิยมของพรรครีพับรีกันจากรัฐวิสคอนซินเป็นหัวหอก รณรงค์กล่าวโทษและจับผิดนักวิชาการ นักการเมือง ข้าราชการ ศิลปิน นักแสดง และแม้แต่ประชาชนอเมริกันเองว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ จนทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่กระจายและคุกคามประเทศทุนเสรีนิยมทั่วโลก นายแมคคาธีเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อที่มีความสามารถและทำให้คนอเมริกันจำนวนมากเชื่อถือ

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเองก็เป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อนี้ มีนักการทูตกว่าสองร้อยคนถูกกล่าวหาว่าเป็นหรือสนับสนุนคอมมิวนิสต์จนทำให้เพลี่ยงพล้ำด้านนโยบายต่างประเทศ และฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ โดยยกตัวอย่างกรณีจีนที่พ่ายแพ้แก่คอมมิวนิสต์เพราะนักการทูตทรยศเหล่านี้ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายพรรคกว๋อมินตั๋งอย่างเต็มที่ แต่สิ่งสำคัญที่นายแมคคาธีละเลยไม่กล่าวถึงคือ ความอ่อนแอ ความไร้ประสิทธิภาพ และการฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกระดับของพรรคกว๋อมินตั๋ง

วิธีการของลัทธิแมคคาร์ธี คือการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อถึงความเลวร้ายของคอมมิวนิสต์ การกล่าวหาบุคคลต่างๆ หรือบุคคลฝ่ายตรงข้ามโดยอ้างคำพูด หรือเสียงซุบซิบโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ประกอบ แต่สามารถุปลุกเร้าสังคมให้คล้อยตาม และลงโทษด้วยการประณาม ใช้อิทธิพลบีบให้ออกจากงาน ให้เลิกจ้าง หรือทำลายชื่อเสียงครอบครัว และการห้ามคบหา เป็นต้น สิ่งนี้ ได้ทำลายนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป หรือแม้แต่ศิลปินนักแสดงและคนทุกอาชีพจำนวนมาก ที่สำคัญได้กลายเป็นเครื่องมือครอบจักรวาลที่ใครก็ตามสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการทำลายใครก็ตามที่ตนไม่ชอบหน้า แม้แต่เพื่อนบ้าน หรือคู่แข่งทาง การงานและธุรกิจ

รอยด่างนี้ คนอเมริกันส่วนใหญ่พยายามลืม หรือไม่รับรู้แม้มีใครถาม

ในประเทศไทยเอง ไปไกลจนถึงขนาดใช้เป็นเครื่องขจัดคู่แข่งของขุนนางพระชั้นสูง จนทำให้ พระทรงสมณศักดิ์ชั้นสูงถูกจับเปลื้องผ้าเหลืองและจำคุกมาแล้ว!) ในยุคต้นกึ่งพุทธกาล

*กรณีศึกษาพระพิมลธรรม 2503-2505

การต่อสู้เอาชนะทางลัทธิความเชื่อได้กลายเป็นกรอบหลักในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ของแทบทุกประเทศในยุคนี้

สหรัฐฯในฐานะผู้ชี้นำฝ่ายทุนนิยมต้องกำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติใหม่ในสาระ สำคัญหลายประการ และส่งผลให้สหรัฐไม่สามารถรักษาคำพูด และทำผิดสัญญาระหว่างประเทศในหลายกรณี

หมายเหตุ สำหรับผู้สนใจเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน - เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือการกระทำครั้งแรกของสหรัฐ

ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกใหม่ๆ และสหรัฐเริ่มหวั่นภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯ บิดพริ้ว ไม่ทำตามข้อตกลงปี 2485 ที่เจรจาในระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่สองยังเข้มข้น และตกลงกันว่า พันธมิตรจะไม่แยกเจรจากับฝ่ายอักษะแต่ผู้เดียว หากจะเจรจาใดๆ พันธมิตรทุกประเทศต้องเข้าร่วมด้วย (ตัวหลัก-สหรัฐฯ สหภาพโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีนฝ่ายหนึ่ง กับแกนอักษะ เยอรมนี ญี่ปุ่นและอิตาลีตัวหลักอีกฝ่ายหนึ่ง) โดยสหรัฐฯ กีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตและจีนมีส่วนร่วมในสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นเมื่อสงครามสิ้นสุดลง

อีกเรื่องหนึ่ง คือสหรัฐฯ ไม่ปฏิบัติตามคำปฏิญญากรุงไคโรและพอร์ทสดัมเมื่อสงครามสิ้นสุด ที่วางและจัดระเบียบโลกเรื่องสำคัญต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปัญหาในจีนที่ขณะนั้นอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง โดยกำหนดให้ทุกฝ่ายต้องเคารพผลของสงคราม หากฝ่ายใดชนะ ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับผลนั้น

เมื่อสงครามกลางเมืองจีนสิ้นสุดลง และพรรคคอมมิวนิสต์สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม 2592 จนถึงเดือนมกราคม 2493 ประธานาธิบดีแฮรี เอส ทรูแมน และรัฐมนตรีต่างประเทศดีน แอชชิสัน ยังคงยืนยันต่อที่ประชุมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงวอชิงตันว่ายังคงยึดมั่นต่อปฏิญญาดังกล่าวว่าด้วยจีนเดียว

อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายน 2493 ถัดมา ก่อนสงครามเกาหลีปะทุไม่กี่วัน สหรัฐฯ ได้เปลี่ยน ท่าทีด้านนโยบายต่างประเทศโดยสิ้นเชิง โดยกำหนดยุทธ์ศาสตร์ขอบเขตความมั่นคงแห่งชาติของตนใหม่ (ลับๆ) ดังนี้
- เกาหลีเป็นเขตอิทธิพลของสหรัฐที่จะต้องกีดกันสหภาพซโซเวียตกับจีนออกไป
- ปกป้องฟอร์โมซา (ไต้หวัน) ในฐานะผู้แทนและรัฐบาลชาติจีน
- คงฐานทัพในญี่ปุ่นที่ยึดครองอยู่แล้วต่อไป และเสริมกำลังทหารในเกาหลีใต้

แต่การไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างสิ้นเชิงนี้ไม่ง่าย จึงต้องสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น ดังนั้น หากมีสงครามเกิดขึ้น การหักนโยบายต่างประเทศแบบสิ้นเชิง ก็จะทำให้สหรัฐฯ ดูไม่น่าเกลียดนัก

นโยบายดังกล่าว มีจอมพลแม็คอาร์เธอร์เป็นคนวางแผนร่วมกับผู้แทนสูงสุดด้านกลาโหมที่ ประธานาธิบดีทรูแมนส่งไปพบ ณ กองบัญชาการยึดครองญี่ปุ่นที่กรุงโตเกียว

*บันทึกจดหมายเหตุ และถ้อยแถลงต่อคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐ

ทำไม ประธานาธิบดีจึงตระบัดสัตย์และทำให้นโยบายด้านต่างประเทศกลับกลายน่าบัดสีเช่นนี้?

ผู้รู้หลายท่านฟันธงว่า ประธานาธิบดีเป็นโรงภูมิแพ้ลัทธิแมคคาร์ธีและกลัวไม่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหากไม่แสดงท่าแข็งกร้าวกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (การเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เดือนพฤศจิกายน 2492) ขณะที่ผู้รู้บางท่านบอกว่าไม่เกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ใดๆ ทั้งนั้น แต่เป็นการแก้ปัญหาความตกต่ำทางเศรษฐกิจรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นในสหรัฐเอง และสงคราม"ย่อมๆ" เป็นยาวิเศษที่รักษาโรคนี้ได้ชงัด

*หมายเหตุอีกประเด็น - การก่อสงครามเพื่อแก้ปัญหาภายในประเทศก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสหรัฐฯ

ในขณะที่บนคาบสมุทรเกาหลีนับแต่สิ้นสุดสงครามโลก การต่อสู้เพื่อรวมชาติได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรก ทั้งด้วยความพยายามโดยสันติวิธีผ่านการลงประชามติ หรือแม้แต่การใช้กำลังล้วนอยู่ในใจของนายคิมอิลซุง ส่วนนายซิงมันรี่ก็เช่นเดียวกัน ถึงจะมีอาชีพเป็นแพทย์กลับต้องการรวมชาติโดยใช้กำลังมากกว่า ! ประการสำคัญ ผู้นำทั้งสองฝ่ายไม่เคยปกปิดความทะเยอทะยานของตัวในการรวมชาติโดยการใช้กำลังทหาร และต่างโอ้อวดโดยเปิดเผยด้วยว่าสามารถเอา ชนะกองทัพของอีกฝ่ายโดยง่าย

กล่าวได้ว่าขณะนั้น (รุ่งสางของวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2493) ทั้งเงื่อนเวลา เวทีแสดง และตัว ละครพร้อมสำหรับเรื่อง "สงครามเกาหลี" แต่อย่าแปลกใจหากข้อเท็จจริงที่จะแสดงอาจต่างจากที่ท่านได้เรียนรู้จากตำราเรียนในสมัยเป็นนักเรียน

มีข้อกล่าวหาทั้งในระหว่างสงครามและภายหลังสงครามเกาหลี เป็นที่รับรู้และบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า เกาหลีเหนือเป็นฝ่ายรุกรานก่อนและก่อสงครามโดยได้รับความเห็นชอบและ การสนับสนุนด้านสรรพกำลังทางทหารจากสหภาพโซเวียตและกำลังทหารอย่างเต็มที่จากสาธารณรัฐประชาชนจีนในลำดับต่อมา

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?

เราทราบเรื่องนี้แน่ชัดหลังจากนั้นอีกสี่สิบปีต่อมาเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว และหอจดหมายเหตุรัสเซียเปิดให้เข้าถึงข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียตต่อเกาหลีเหนือในขณะนั้น

ในปี 2492 มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นสองประการที่ทำให้ โจเซฟ สตาลินมีความมั่นใจในตัวเองและ พลังของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในการดำเนินนโยบายการเมืองต่างประเทศอย่างเต็มที่ คือสหภาพโซเวียตประสบความสำเร็จในการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ทำให้ไม่ต้องหวั่นเกรงสหรัฐฯ อีกต่อไป อีกเรื่องถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ คือชัยชนะของพรรคคอมมิวนีสต์จีนในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก

นอกจากนั้น รัสเซียยังได้สิ่งที่ต้องการทุกประการแล้วหลังสงครามโลกสิ้นสุดคือดินแดนที่เคย เป็นของรัสเซียก่อนสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นเมื่อสี่สิบปีก่อนหน้านั้น พร้อมโบนัสคือหมู่เกาะซาคาลินที่ทำให้สหภาพโซเวียตสามารถจ่อกำลังตรึงเกาะฮอกไกโกของญี่ปุ่นไปเพียง 50 กม. การท้าทายสหรัฐฯ เรื่องคาบสมุทรเกาหลีในขณะนี้จึงไม่อยู่ในความคิดของคนฉลาดและเล่ห์ลึก เช่นโจเซพ สตาลิน และเป็นผู้ที่คอยคัดค้านและยับยั้งคิมอิลซุงมาตลอดเรื่องการใช้กำลังทางทหารเพื่อรวมสองเกาหลี

จนถึงช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2493 เท่านั้นที่ท่าทีของสตาลินเริ่มอ่อนลง และเตือนว่าการก่อสงครามต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงอย่างรอบคอบอย่างที่สุด แต่หากเกาหลีใต้ยั่วยุและบุกเกาหลี เหนือ นั่นจะทำให้สงครามมีความชอบธรรม และสหภาพโซเวียตพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ดึงจีนเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้โดยสื่อกับจีนว่าจีนควรมีส่วนร่วมตัดสินการเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย แต่เหมาเจ๋อตุงโยนกลองกลับไปให้สหภาพโซเวียตเป็นผู้ชี้ขาด

ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือ สหภาพโซเวียตไม่เคยสนับสนุนเกาหลีเหนือแต่ไม่ขัดหากเกาหลี เหนือจะก่อสงครามรวมชาติ ที่สำคัญกว่านั้นฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่เคยวางกรอบเวลาที่จะทำสงคราม

มีรายงานข่าวสองชิ้นทั้งก่อนหน้าและหลังจากสงครามเกิดขึ้นแล้ว เสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวต่อเหตุการณ์ที่เมื่อนำมาประติดประต่อแล้วจะทำให้ข้อเท็จจริงปรากฎขึ้น ข่าวแรกคือรายงานโทรเลขจากจอมพลแมคอาร์เธอร์สามเดือนก่อนหน้า ที่รายงานให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ว่า เกาหลีเหนือจะโจมตีเกาหลีใต้ในวันที่ 25 มิถุนายน ที่ก่อกระแสกังวลไปทั่วโลก แต่ต่อมาจอมพลแมคอาร์เธอร์ได้ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว ข่าวที่น่าสนใจกว่านั้น คือประมาณหนึ่งเดือนเมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้ว มีรายงานข่าวกรอง หลุดรอดออกมาจากกองบัญชาการใหญ่ของจอมพลแมคอาร์เธอร์ ว่าฝ่ายข่าวฯ ของสหรัฐฯ รายงานเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนว่าเกาหลีเหนือวางกำลังทหารไว้เพียง 6-7 กองพลเท่านั้น ในขณะที่มีการประเมินต่อไปด้วยว่าเกาหลีเหนือต้องใช้กำลังถึง 15 กองพลในการเปิดสงครามรุกเต็มรูปได้

จึงสรุปได้ว่า เกาหลีเหนือมิได้เตรียมกำลังจะรุกรานเกาหลีใต้ในวันที่ 25 มิถุนายน แต่ประการใด แต่เกาหลีใต้ (สหรัฐฯ) ต่างหากที่ยั่วยุให้เกิดสงคราม โดยก่อนหน้านั้นก่อนรุ่งสาง เกาหลีใต้ส่งกำลังเข้ายึดเมืองแฮจูซึ่งอยู่เหนือพรมแดนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 50 กิโลเมตรในเกาหลีเหนือ สำนักประธานธิบดีเกาหลีใต้เองที่ออกมาแถลงการณ์ในเรื่องนี้ก่อนที่เกาหลีเหนือจะเปิดฉากโจมตีฝ่ายใต้

เช้าวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2493 กองทัพเกาหลีเหนือเคลื่อนกำลังข้ามเส้นขนานที่ 38 รุกเข้าเกาหลีใต้และเริ่มปฏิบัติการทางทหารโจมตีเต็มรูปดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลก

ดูเหมือนละครเรื่อง “สงครามเกาหลี” นี้ จะดำเนินไปตามบทที่กำหนดไว้โดยไม่ผิดพลาดแต่ผู้กำกับการแสดงคือสหรัฐฯ ดูจะเร่งรัดบทจนผู้ชมการแสดงเริ่มไม่คล้อยตาม

อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างสองเกาหลีเกิดขึ้นแล้วที่เนื้อแท้เป็นสงครามกลางเมืองและ สหประชาชาติไม่ควรเข้าไปเกี่ยวพัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้กำกับการแสดง

ในวันเดียวกันที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ กรุงนิวยอร์ก คณะมนตรีความมั่นคงได้เรียกประขุมฉุกเฉินกรณีปัญหาคาบสมุทรเกาหลี และเรื่องความก้าวร้าวของเกาหลีเหนือที่ใช้กำลังแก้ปัญหา (วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2493 เวลา am - 10.00 + pm 04.00 GMT = ความต่างเวลา 14 ชม.)

สหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติประณามเกาหลีเหนือในฐานะผู้รุกรานในทันทีภายในวันนั้น ซึ่งสร้างความแปลกใจแก่สมาชิกสภาความมั่นคง จนผู้แทนยูโสลาเวียในคณะมนตรีความมั่นคงประเทศหนึ่งท้วงว่า สหประชาชาติควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนก่อนการมีมติสำคัญใดๆ แต่ไม่มีสมาชิกอื่นคล้อยตาม ขณะนั้น สหภาพโซเวียตยังคว่ำบาตรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพราะคณะมนตรียังไมมอบเก้าอี้สมาชิกถาวรให้สาธารณรัฐประชาชนจีนแทนจีนคณะชาติ และโซเวียตเห็นว่าไม่ชอบธรรม จึงมิได้เข้าร่วมการประชุม

*หมายเหตุ - รู้สึกคุ้นๆ ไหมครับกับวิธีการของสหรัฐที่บีบคั้นกดดันและเหตุการณ์กรณีซีเรียในปัจจุบัน ?

อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมารายงานจากคณะผู้แทนองค์การสหประชาชาติประจำเกาหลีก็มาถึงที่ประชุม

เนื้อหารายงานมีใจความสั้นๆ ว่าเกิดการปะทะบริเวณชายแดนเกาหลีเหนือ-ใต้ และทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ก่อเหตุยั่วยุ ไม่มีรายงานใดๆ กล่าวถึงปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายเกาหลีใต้ที่เมืองแฮจู

ภายในยี่สิบชั่วโมงหลังเกิดเหตุ สหรัฐฯ ก็บรรลุความประสงค์ คณะมนตรีความมั่นคง (ที่สหภาพโซเวียตและจีนในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชา ชาติยังคงคว่ำบาตรอยู่และไม่เข้าร่วม) มีมติให้ประณามเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้รุกรานสงครามนี้จึงได้กลายเป็นสงครามระหว่างประเทศเต็มรูปแบบ สหรัฐได้โอกาสกล่าวประณามสหภาพโซเวียต และบริวารคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย (จีน เกาหลีเหนือ และฯลฯ) ว่าเป็นผู้รุกราน นิยมใช้กำลังแก้ปัญหา และอีกสองวันต่อมา ก็ส่งกองทัพเรือที่ 7 เข้าสู่ช่องแคบไต้หวันโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องจีนคณะชาติจากภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ และนี่คือสาเหตุอีกประการหนึ่งของสงครามเกาหลี

ในสายตาฝ่ายทุน(เสรี) นิยม และโลกการพลิกผันนโยบายต่างประเทศและการทำผิดข้อตกลงของประธานาธิบดีทรูแมนจึงดูชอบธรรม และสหรัฐบรรลุยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนใหม่ทุกประการ การคงกองกำลังและฐานทัพไว้ในญี่ปุ่นต่อไปถึงแม้สงครามโลกจะสิ้นสุดลงถึงห้าปีแล้ว การปกป้องและติดอาวุธรัฐบาลจีนคณะชาติที่เกาะฟอร์โมซาหรือไต้หวันเพื่อให้เป็นเสี้ยนและถ่วงดุลจีนคอมมิวนิสต์ กองกำลังและฐานทัพในเกาหลีใต้เพื่อสู้สงครามและจะต้องคงอยู่อีกนานเพื่อเผชิญหน้ากับทั้งสหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์

จอมพลแมคอาร์เธอร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาติที่มี 16 ประเทศส่งกำลังเข้าร่วมรบ (ไทยส่งทหารราบ 3 กองพันเข้าร่วมรบ) กองทัพเกาหลีใต้เองก็อยู่ภายใต้การบัญชาการของจอมพลแมคอาร์เธอร์ตามคำสั่งของประธานาธิบดีซิงมันรี

ในระหว่างนี้ สหรัฐฯ พยายามปลอบมิตรประเทศให้คลายกังวลว่าสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีจะไม่ลุกลามเป็นสงครามใหญ่หรือนำไปสู่สงครามโลกครั้งใหม่ โดยย้ำว่า บทบาทของกองกำลังสหประชาชาติจะทำหน้าที่ของตำรวจ คือรักษาสถานะให้กลับคืนสู่สภาวะเดินที่มีเกาหลีเหนือและใต้โดยมีเส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งเช่นเดิม แต่ข้อเท็จจริงมิได้เป็นไปตามที่สหรัฐฯ บอกกล่าวแก่พันธมิตร

เมื่อเกาหลีเหนือทุ่มกำลังทหารบุกเข้าสู่เกาหลีไต้ สงครามในระยะเกือบสามเดือนแรก เกาหลีเหนือเป็นฝ่ายได้เปรียบเต็มที่ ในปลายเดือนสิงหาคม รุกตีกองกำลังฝ่ายใต้และสหรัฐฯ ไปจนสุดปลายแหลมของคาบสมุทร และล้อมฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ปลายแหลมแคบๆ บริเวณรอบเมืองปูซาน เกาหลีใต้และกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตร อยู่ในฐานะล่อแหลมและเกือบยอมจำนน

สถานการณ์ได้พลิกกลับ เมื่อจอมพลแมคอาร์เธอร์โต้กลับทางยุทธวิธี โดยยกกองกำลังสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกขึ้นฝั่งที่เมืองอินชอนทางฝั่งตะวันตกขอบคาบสมุทรบริเวณใกล้พรมแดนเหนือใต้ในเดือนกันยายน และประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ตัดขาดเส้นทางลำเลียงและการส่งกำลังบำรุงของกองทัพเกาหลีเหนือทั้งหมด จนต้องถอยกองทัพทั้งหมดกลับไปรวมพลที่เหนือเส้นขนาดที่ 38

นับเป็นชัยชนะทางทหารครั้งใหญ่ในสงครามสมัยใหม่ของฝ่ายพันธมิตรภายใต้การบัญชาการรบของจอมพลแมคอาร์เธอร์ และสงครามที่ดำเนินมาสามเดือนสามารถจบสิ้นลงได้ในขณะนี้ แต่ความทะเยอทยานของจอมพลแมคอาร์เธอร์กลับเพิ่มยิ่งขึ้นพร้อมคำสรรเสริญยกย่องที่ตามมา ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ ก็เคลิ้มตามความประสงค์ของจอมพลแมคอาร์เธอร์ ที่เห็นว่าควรกำราบเกาหลีเหนือให้เด็ดขาด มีเกาหลีเพียงหนึ่งเดียวภาใต้รัฐบาลที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ และกองกำลังฝ่ายโลกเสรีสามารถวางกำลังค้ำยัน และตรึงกำลังประชิดพรมแดนจีนคอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียตทางเหนือเพื่อสกัดกั้นการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ได้อย่างเต็มที่ !

ปีศาจสงครามคำรามก้องขึ้นอีกครั้ง และจีนคอมมิวนิสต์ได้ยินชัดเจน

หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น เมื่อทิศทางสงครามได้เปรียบและโต้กลับ จอมพลแมคอาเธอร์แสดงความอหังการ์เต็มที่ โดยประกาศว่าจะขับคอมมิวนิสต์ให้พ้นไปจากคาบสมุทรเกาหลี และทุ่มกำลังทหารเพื่อสนับสนุนให้พรรคกว๋ามินตั๋งกลับไปยึดคืนจีนแผ่นดินใหญ่คืนจากคอมมิวนิสต์อีกครั้ง

สาธารณรัฐประชาชนจีนรับรู้ท่าทีทั้งหมดของสหรัฐฯ และพัฒนาการของสงครามในเกาหลี ทันทีที่เห็นการวางกำลังของสหรัฐฯและพันธมิตรบนแนวเส้นขนานที่ 38 นายโจวเอินไหล รัฐมนตรีต่างประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในขณะนั้น ออกแถลงการณ์เตือนทันทีว่าจีนจะไม่อยู่เฉยหากกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรรุกเข้าเกาหลีเหนือ

จอมพลแมคอาเธอร์ไม่สนใจ สั่งเคลื่อนทัพเข้าเกาหลีเหนือช่วงปลายเดือนกันยายน โดยไม่ขออาณัติจากสหประชาชาติ และเข้ายึดกรุงเปียงยาง เมืองหลวงเกาหลีเหนือ สิ่งที่สหประชาชาติทำได้ในขณะนั้น คือ มีมติให้กองกำลังฝ่ายสหรัฐฯ รีบจบสิ้นภารกิจและถอยตัวออกจากเกาหลี เหนือโดยเร็ว ในราวกลางเดือนตุลาคมกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรเคลื่อนเข้าใกล้แม่น้ำยาลู เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ และในระหว่างปฏิบัติการรุก เครื่องบินได้ทิ้งระเบิดพลาดไปถูกที่หมายทางทหารในฝั่งจีน

การรบเต็มรูปแบบสงครามปะทุอย่างเต็มที่ เมื่อจีนเคลื่อนกองทัพที่เรียกว่ากองกำลังทหารอาสาสมัครกว่าห้าแสนนาย หรือราว 50 กองพลบุกข้ามแม่น้ำยาลูในช่วงต้นเดือนธันวาคม และโจมตีกองกำลังสหรัฐฯ และพันธมิตรโดยไม่ให้รู้ตัว สงครามนองเลือดและดุเดือดปะทุขึ้นอีกครั้ง และโฉมหน้าสงครามเกาหลีพลิกกลับอีกรอบ กองกำลังอาสาสมัครจีนพร้อมกองทัพเกาหลีเหนือพร้อมกำลังสนับสนุนทางอากาศจากสหภาพโซเวียต ผลักดันและรุกไล่กองทหารสหรัฐฯ และพันธมิตรถอยร่นไปต่ำกว่าเส้นขนานที่ 38 อีกครั้งหนึ่ง

จอมพลแมคอาร์เธอร์ วีรบุรุษของคนอเมริกัน ในฐานะผู้ปลดปล่อยฟิลิปปินส์ ผู้พิชิตและปกครองญี่ปุ่น และนักการทหารชั้นอัจฉริยะ ต้องประสบความอับอายอย่างยิ่งเป็นครั้งแรกที่ประเมินสถานการณ์ผิดอย่างแรงว่าจีนจะไม่แทรกแซงในสงครามเกาหลี อันเกือบนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และทำให้กองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรต้องเผชิญสภาวะลำบากยิ่งในช่วงพลิกผันของสงครามขณะนี้ ต่อมา เขาถูกประธานาธิบดีสั่งปลดจากทุกตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ คนอเมริกันยังจัดต้อนรับนายทหารผู้นี้เยี่ยงวีรบุรุษ

ตลอดหกเดือนต่อมาจนถึงกลางปี 2494 ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุก รับ และรบยันตลอดแนวรบเส้นขนานที่ 38 และในระหว่างสงครามช่วงนี้ สหภาพโซเวียตเติมเต็มเครื่องจักรสงครามให้ฝ่ายเกาหลีเหนือและจีนคอมมิวนิสต์ด้วยการสนับสนุนการรบทางอากาศอย่างเต็มที่ ทำให้การรับของฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่เพลี่ยงพล้ำต่ออีกฝ่าย

สงครามเกาหลียึดเยื้อต่อมาอีกสองปี ในลักษณะการรบแบบสนามเพลาะยันกัน เพื่อให้อีกฝ่ายอ่อนกำลังและพ่ายแพ้ จนในที่สุดเมื่อทั้งสองฝ่ายยอมรับภาวะทางตัน จึงได้เจรจาและลงนามในสัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2596 สงครามที่ยึดเยื้อมา 3 ปี 1 เดือน กับอีก 2 วัน จึงได้ยุติลง ทั้งที่ควรจบลงภายในสามเดือน

ประการสำคัญ เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังไม่ได้ลงนามสัญญาสันติภาพเพื่อยุติสงคราม ดังนั้น ตามกฏหมายระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายยังคงสถานะคู่สงครามระหว่างกันจนถึงในปัจจุบัน

ใครได้ และเสียในสงครามครั้งนี้ ? จึงควรเป็นคำถามสำคัญที่สุดเพื่อให้ประวัติศาสตร์บทนี้ที่สร้างความสูญเสียมหาศาลต่อมนุษยชาติเป็นบทเรียนที่ป้องกันมิให้ความผิดซ้ำซากเกิดขึ้นอีก?

สหรัฐฯ
- แฮรี เอส ทรูแมนได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย เมื่อดำเนินนโยบายต่างประเทศสายเหยี่ยวที่ แข็งกร้าว พร้อมเผชิญหน้าและสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ทุกแห่งในโลก ถึงแม้ต้องตระบัดสัตย์และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ
- สามารถดำเนินยุทธศาสตร์ใหม่ที่เน้นสกัดกั้นการขยายตัวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออก ด้วยการคงฐานทัพไว้ในญี่ปุ่นต่อไป สร้างฐานทัพใหม่ในเกาหลีใต้และติดอาวุธให้จีนคณะชาติถึงแม้จะไม่บรรลุเป้าหมายสูงสุดในการรวมเกาหลีที่มีรัฐบาลเป็นพันธมิตรกับตน
- มั่นใจได้ว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีนคณะชาติ จะเป็นพันธมิตร (บริวาร) ไปอีกนานเพราะต้องพึ่งพิงพลังทางทหารของสหรัฐฯในการป้องกันตนเอง
- ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำฝ่ายโลกทุน(เสรี)นิยม แต่ผู้เดียวอย่างเด็ดขาด

สหภาพโซเวียต
- สร้างความเชื่อมั่นและสามัคคีในกลุ่มภาคีวอร์ซอและประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหมดโดยชี้ให้เห็นภัยคุกคามและความก้าวร้าวของลัทธิทุนนิยมภายใต้การชี้นำของสหรัฐฯ ดังกรณีตัวอย่างสงครามเกาหลี
- ผลักดันจีนให้เป็นพันธมิตร (บริวาร)ที่แนบชิดสหภาพโซเวียตเพราะมีสหรัฐฯเป็นศัตรูร่วม
- สหภาพโซเวียตเป็นผู้นำหนึ่งเดียวและผู้ชี้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ของโลก
- สตาลินถือเป็นชัยชนะส่วนตัวในกุศโลบายดึงสหรัฐฯให้ถลำลึกในเอเชียตะวันออกด้วยกำลังและทรัพยากรส่วนใหญ่ เพื่อหันเหความสนใจสหรัฐฯ จากยุโรป ที่โจเซพสตาลิน ให้ความสำคัญกว่าเอเชีย และมุ่งขยายอิทธิพลอย่างจริงจัง

ประชาชาติเกาหลี
- ตัวเบี้ยสำคัญบนกระดานหมากรุกในเกมส์แข่งขันเอาชนะระหว่างสองมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ทั้งสองรายข้างต้นโดยอิงแอบอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่าย อิงแอบอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ความทะเยอทะยานของตน
- เหยื่อเดิมพันที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตของพลเรือนเกาหลีทั้งสองฝ่ายประมาณ 2 ล้าน 5 แสนคน หรือครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในสงคราม

ปัจฉิมวาทะ

ผู้นำของเกาหลีทั้งเหนือและใต้มีความชอบธรรมและไม่ควรถูกติเตียนที่ต้องการความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรมเดียวกัน แต่หากความใฝ่ฝันนั้นนำมาซึ่งทุกข์แสนสาหัสและความตายของเพื่อนร่วมชาติเช่นสงครามเกาหลีที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ปีก่อนหน้านั้น เป็นความรับผิดชอบของผู้นำทั้งสองเกาหลีในยุคปัจจุบันต้องไตร่ตรองให้รอบคอบเพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม

การประชุมสุดยอดระหว่างนายคิมจองอืนผู้นำเกาหลีเหนือและนายมูนแจอีนประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 เมษายน 24561 ณ สถานที่เจรจาสงบศึกของสงครามครั้งนั้น(หมู่บ้านปันมุนจอม-เส้นขนานที่38) จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนชาติเดียวกันแต่อาศัยอยู่คนละฟากฝั่งสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับจากผู้นำของตน

สัญญาณหลายประการในทางบวกที่ผู้นำเกาหลีเหนือได้แสดงออก ทั้งการเสนอให้ลงนามยุติสงครามอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ การยุติการทดลองขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์

การไม่คัดค้านการร่วมซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ หากจะดำเนินต่อไปนั้นหากผู้นำเกาหลีใต้จะตอบสนองด้วยเจตนาที่เป็นมิตรในระดับที่ใกล้เคียงกันด้วยการรักษา ระยะห่างความสัมพันธ์ทางทหารกับสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญแล้ว ก็จะทำให้ความไว้วางใจเข้าแทนที่ความหวั่นระแวงต่อกัน

มองย้อนหลังไปหนึ่งเดือน ที่ผู้นำเกาหลีเหนือเดินทางไปพบผู้นำจีนอย่างลับๆ เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา (รายงานข่าวปรากฏเมื่อการเยือนสิ้นสุดลง) เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้มาพบหารือกัน และเหตุการณ์ที่จะเกิดขี้นภายในเดือนนี้ (การนัดพบปะระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ) และผลการเจรจาเบื้องต้นที่ปรากฏต่อสาธารณชน หากนำทั้งสามเหตุการณ์มาวางต่อกันและพินิจแล้ว การคาดหวัง สันติภาพที่ยั่งยืนที่จะนำไปสู่เกาหลีหนึ่งเดียวอาจมิใช่เพียงความฝันอีกต่อไป

ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการรวมสองเกาหลีเช่นเมื่อ 65 ปีก่อนลดน้อยลงไปมากแล้ว ทั้งปัญหาใหญ่เชิงลัทธิอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่สิ้นสุดลงพร้อมการจบสิ้นของสหภาพโซเวียต ส่วนสหรัฐฯ ก็เป็นภาพลวงมหาอำนาจที่กำลังถดถอย จีนซึ่งเติบใหญ่แข็งแกร่งทั้งทางเศรษฐกิจและการทหารพร้อมการหนุนช่วยจากรัสเซียซึ่งยังคงเป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ และองค์ประกอบสำคัญ เกาหลีใต้เองที่แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากพอที่จะแบกรับปัญหาเองได้โดยไม่ต้องพึ่งมหาอำนาจภายนอก หากมีเจตนามั่นคงแน่วแน่ ความใฝ่ฝันของบรรพชนเกาหลีจะเป็นจริงได้โดยไม่ยาก และในฐานะเพื่อนมนุษย์ ขอให้สิ่งนั้นปรากฏเป็นจริงโดยไม่มีประเทศอื่นใดมาขัดขวางได้

วิธาน บุญภูพันธ์ตันติ
3 พ.ค.2561

อ้างอิง

1. Sir John Pratt 1951 : Korea; the Lie that led to War.
2. Russian State Archives :
- Korean War.
- The Origin of Korea War
3. Wilson Center Home : Did Stalin lure The US into Korean War?
Prof. Donggil Kim&
Prof. William Stueck.
4. Kim Gu : On Reunification and War 1948
5. Wikipedia : Korean War 1950-1953


กำลังโหลดความคิดเห็น