ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA
ผู้อำนวยการหลักสูตร Ph.D. และ M.Sc. (Business Analytics and Data Science)
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA
จากสถิตินักเรียนนักศึกษาของคณะและสาขาวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัยที่ลดลงฮวบฮาบ บางแห่งแทบไม่ต้องคัดเลือกกันเลย เพราะนักเรียนสมัครมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนที่ต้องการรับนักศึกษา และการฉายภาพประชากรของไทยที่เข้าสู่ภาวะประชากรถดถอย ประกอบกับตลาดก็เริ่มอิ่มตัวกับปริญญา
เกิดมหาวิทยาลัยในโลกออนไลน์ เรียนจาก MOOC ก็ได้ Coursera ก็มีเยอะแยะ MIT open courseware ก็มี แต่มี e-learning ให้เรียนฟรี ๆ อีกมาก ไปเรียนต่อเมืองนอกสมัยนี้ก็ง่าย มหาวิทยาลัยต่างประเทศก็อยากได้นักศึกษาใจจะขาด หลายที่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ในประเทศไทยมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งเจรจาขายกันหลายพันล้านแต่ยังไม่สำเร็จ อีกแห่งหนึ่งชื่อดังเช่นกันปีที่แล้วขาดทุนไป 100 กว่าล้าน ตั้งมาหลายสิบปี ปีที่แล้วขาดทุนเป็นครั้งแรก
มหาวิทยาลัยของรัฐเองก็ย่ำแย่สะบักสะบอม หานักศึกษาไม่ได้ TCAS รอบนี้อาการน่าจะยิ่งหนัก รอบ 3 ก็แล้ว รอบ3/1 ก็แล้ว รอบ 3/2 ก็แล้วยังเติมนักศึกษาได้ไม่เต็มตามจำนวนที่อยากจะรับกัน ส่วนหนึ่งเป็นความห่วยแตกของระบบที่ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไม่รับผิดชอบ ออกมาขอโทษนักเรียนนักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครองที่เครียดจนสติแตก กระวนกระวาย น่าเห็นใจอย่างยิ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งเราต้องยอมรับว่าประเทศไทยเรามี oversupply คือมีมหาวิทยาลัยมากเกินไปกว่าความต้องการศึกษาต่อของเด็กเสียแล้ว
เราไม่เคยวางแผนการศึกษา โดยเฉพาะอุดมศึกษาอย่างใช้หลักฐานทางสถิติ เช่น การฉายภาพประชากร ประเทศไทยมีประชากรเกิดเกินล้านคนต่อปีติดต่อกันสามสิบกว่าปี จากปี 2505 ถึงปี 2535 เด็กแย่งกันเรียน ที่นั่งในมหาวิทยาลัยไม่พอ ครูและอาจารย์ แม้กระทั่งครูประถมศึกษาก็ขาดแคลน ทำให้เราเร่งผลิตครู เร่งกันสร้างมหาวิทยาลัยกันยกใหญ่ เป็นการหาเสียงของนักการเมืองไปด้วย เป็นการสร้างอาณาจักรสร้างบารมีของอาจารย์มหาวิทยาลัยกันไปด้วย เร่งสร้างกันจนไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงว่าประเทศไทยต้องการบัณฑิต มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต อย่างละเท่าไหร่ สาขาอะไร
แต่ละคณะก็เร่งรับอาจารย์เข้ามากันมากมาย และตอนนี้ก็มากเกินกว่าที่ต้องการ ยกเว้นในบางสาขาที่ต้องการเพิ่มขึ้นมาก เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัชศาสตร์ เพราะเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มวัย ต้องการอาจารย์แพทย์ อาจารย์พยาบาลมากเหลือเกิน โดยเฉพาะพยาบาลวิกฤติหนักมากที่สุด ส่วนสายสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ มีแนวโน้มจะมีอาจารย์ล้นเหลือและไม่มีคนเรียน ในสายวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปไวมากเช่น วิทยาการคอมพิวเตอร์ก็มีแนวโน้มว่าอาจารย์จะล้นเพราะตกยุคไม่ทันสมัย และวิชาทางวิทยาศาสตร์ยาก ๆ เช่นคณิตศาสตร์ก็มีเด็กอยากเรียนลดลงไปมาก เพราะเด็กมีทางเลือกมากเหลือเกินไม่จำเป็นต้องง้อมหาวิทยาลัยอีกต่อไป
ขณะนี้โรงเรียนประถมศึกษาแทบจะร้าง มีโรงเรียนประถมศึกษาใจกลางกรุงเทพ มีชื่อเสียงมาก เคยมีนักเรียน 3600 คน ณ วันนี้เหลือนักเรียนแค่ 600 คนทั้งโรงเรียน โรงเรียนเอกชนปิดไปแทบจะหมดแล้ว และโรงเรียนมัธยมศึกษาก็พบปัญหานี้แล้วเช่นกัน ส่วนมหาวิทยาลัยได้รับผลกระทบรุนแรงมากน้อยบ้างแตกต่างกันไปตามสาขาวิชา มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจริง ๆ และมีความทันสมัย จึงจะอยู่รอดได้
ดังนั้นใครจะมาเป็นผู้บริหารคณะหรือมหาวิทยาลัย ขอให้ตระหนักว่า หน้าที่ที่น่าหนักใจของท่านภายใน 3-5 ปีข้างหน้าคือ ท่านอาจจะต้อง lay off อาจารย์และเจ้าหน้าที่ ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยออกไปเป็นจำนวนมาก อาจจะมากถึง 40%
อาจจะต้องยุบ ปิดภาควิชา หรือรวมคณะ ภาควิชา สาขาวิชา หรือรวมมหาวิทยาลัย
สำหรับคณบดี ขอให้เตรียมหลักฐานในการ lay off คนที่ไม่มีภาระงาน และไม่ปรับตัวไว้ให้ดี การสั่งให้ปรับตัว ปรับวิชาสอน ปรับการเรียนการสอน ปรับตัว หรือให้ทำวิจัย ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร อย่าสั่งด้วยวาจาและควรมีบันทึกในรายงานการประชุมให้ชัดเจนให้เป็นหลักฐานไปขึ้นศาลได้ (legally defensible evidences) ว่าต้องเลิกจ้างเพราะไม่มีงานให้ทำหรือคนขาดคุณสมบัติในการทำงานจริง ๆ และได้ให้เวลาในการเตรียมตัวปรับตัวแล้ว หลักฐานเหล่านี้ต้องพร้อมที่จะไปศาลปกครอง อย่าได้ประมาท
และวันดีคืนดี จะมีจดหมายจากผู้บริหารของสถาบันหรือมหาวิทยาลัย เขียนมายังคณบดีว่า
เนื่องจากคณะของท่านมีจำนวนนักศึกษาและภาระการสอน เท่านั้นเท่านี้ และมหาวิทยาลัยได้รับจัดสรรงบประมาณมาจำกัดมากตามจำนวนนักศึกษาที่ลดลง คณะของท่านมีอาจารย์ได้เพียง x คน เจ้าหน้าที่ y คน ซึ่งเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้เป็นสัดส่วนกับภาระงานไป a และ b คนตามลำดับ ดังประกาศเรื่องการคำนวณอัตรากำลังบุคลากร
ขอให้ท่านพิจารณาและกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนในการ lay off อาจารย์และเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมตามเกณฑ์ หากคณะของท่านไม่สามารถทำได้ โปรดใช้เงินทุนคณะของท่านในการจ่ายค่าตอบแทนเหล่านั้นเอง เนื่องจากไม่มีงบประมาณเพียงพออีกต่อไป และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
การดุลข้าราชการออกสมัยรัชกาลที่ 7 ที่เคยว่ากันว่าเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475เคยเกิดมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นข้าราชการ เพราะเกิด Great depression เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก แต่นี่เป็นพนักงานยิ่งเอาออกง่ายกว่ามาก เพราะเป็นสัญญาจ้างเป็นปี ๆ ไป
สำหรับอาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
ควรพิจารณาตัวเองว่า ยังมีคุณค่าอยู่หรือไม่ ยังมีภาระการสอนหรือไม่ ตกยุค obsolete หลังเขาหรือยัง ต้องปรับปรุงหลักสูตรอย่างไรให้ดีและทันสมัยเป็นที่ต้องการของสังคม ต้องมีงานวิจัยหรืองานบริการวิชาการอื่นๆ เพียงพอที่จะทำให้ตนเองเป็นที่ต้องการ ต้องสามารถสร้างรายได้และคุณค่าให้หน่วยงานหรือไม่ จะทำอย่างไรให้ตนเองมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี มีที่ยืนได้อย่างสง่างาม เป็นที่ต้องการของสังคมและภาคเอกชนด้วย
อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องถามตัวเองว่าจะอยู่ต่อไปอย่างสง่างามได้อย่างไร ถ้าไม่ต้องอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้วจะออกไปทำอะไรได้ มีงานของนอกไหม มีเอกชนอยากจะจ้างไหม คนที่มีงานรอข้างนอกนั่นแหละคือคนที่จะได้อยู่ต่อ เพราะสอนอะไรที่เอกชนต้องการเอาไปใช้งานจริงได้
ขอให้ทุกคนในมหาวิทยาลัยเตรียมตัว สถานการณ์จะเป็นนายของทุกคน
ธรรมาภิบาลก็อาจจะมีปัญหา อาจจะเกิดการ lay off คนที่ไม่ใช่พวกของตนก็ได้ ใครจะรู้
Hope for the best, prepare for the worst!
May the force be with you! อย่าประมาท