xs
xsm
sm
md
lg

ซาอุฯ...จากสิทธิสตรีถึงการปฏิวัติ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

<b>Loujain al-Hathloul  นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเพื่อสิทธิสตรี</b>
วันนี้...เปลี่ยนบรรยากาศมาว่ากันเรื่องเบาๆ แต่ลงท้าย...อาจต้องหนักเหมือนเคย ด้วยเหตุเพราะเรื่องราวที่ว่าดันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรซาอุฯ ที่ชักออกอาการหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลังๆ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “สิทธิสตรี” ว่าพอมีสิทธิขับรถขับราได้เหมือนอย่างมนุษย์ปกติธรรมดากับเขาหรือไม่ อย่างไร เพราะสำหรับซาอุฯแล้ว เรื่องนี้...ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถึงขั้นบรรดาสตรีชาวซาอุฯ ทั้งหลาย ต้องเคลื่อนไหวต่อสู้ไม่รู้จะกี่สิบต่อกี่สิบปีมาแล้วเห็นจะได้...

คือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 โน่นเลย...ที่สตรีซาอุฯ ผู้ใจถึง ใจกล้าจำนวนถึง 47 ราย ออกมาเรียกร้องขอสิทธิในการขับรถขับราไปไหนต่อไหนก็ย่อมได้ โดยไม่ต้องไปขออนุญาตสามี หรือบิดา หรือโดยไม่ต้องมีผู้ชายนั่งเคียงข้างมาในฐานะผู้ให้การอนุญาต หรือผู้ปกปักรักษาความเป็นสตรี (Guardianship) โดยร่วมมือร่วมใจขับรถประท้วงไปรอบๆ กรุงริยาดห์ ก่อนถูกจับเข้าซังเตกันไปทุกๆ ราย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บรรดาสตรีซาอุฯ ต้องถอดใจกันไปซะทั้งหมด อีกหลายต่อหลายราย ยังคงออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้อง ทวงสิทธิที่ว่านี้ไปเป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ เช่นรายของ “Loujain al-Hathloul” นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีแห่งองค์กร “Gulf Centre for Human Rights” (GCHR) ที่ลงทุนขับรถข้ามพรมแดนจากประเทศยูเออี หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ที่แม้จะเป็นประเทศบริวารซาอุฯ แต่ยังอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถได้) โผล่เข้ามาในซาอุฯ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2014 ซึ่งผลที่ปรากฏก็คือ ถูกรวบตัวเข้าซังเตขังเอาไว้ 73 วัน ก่อนปล่อยตัวออกมาในที่สุด...

จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนปี ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมา...ด้วยความหวังตั้งใจ ความพยายามที่จะทำให้ราชอาณาจักรซาอุฯ แปรสภาพไปสู่ความเป็น “อิสลามสายกลาง” (Moderate Islam) ตามแนวคิดของผู้ทรงอิทธิพลหมายเลข 1 ของซาอุฯ คือมกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” (Mohammed bin Salman) ผู้มีสถานะไม่ต่างไปจาก “ว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่” รัฐบาลซาอุฯ จึงป่าวประกาศออกใบอนุญาตขับขี่ให้กับบรรดาสตรีชาวซาอุฯทั้งหลาย โดยสามารถที่จะขับรถขับราไปไหนก็ย่อมได้ และโดยไม่ต้องมีผู้ชายนั่งข้างเป็น “เทพผู้คุ้มครอง” ต่อไปอีกแล้ว ส่งผลให้บรรดาสตรีซาอุฯ รวมทั้ง “คนรุ่นใหม่” ทั้งหลาย ออกอาการกรี๊ดๆ กร๊าดๆ ไปตามๆ กัน รวมทั้งบรรดาประเทศตะวันตกที่เคยออกอาการอีหลักอีเหลื่อกับ “ปัญหาสิทธิมนุษยชน” ในซาอุฯ ก็พลอยสรรเสริญเยินยอ อนุโมทนากับแนวคิด แนวนโยบายของเจ้าชาย “MbS” กันอย่างออกหน้าออกตา ยิ่งในช่วงพิธีเฉลิมฉลองวันชาติซาอุฯ เมื่อวันที่ 23 กันยายนปีที่แล้ว เจ้าชายท่านยังทรงอนุญาตให้บรรดาสตรีซาอุฯ สามารถเข้าร่วมพิธีในสนามกีฬา “King Fahd International Stadium” ร่วมกับพวกผู้ชายได้อีกด้วยต่างหาก บรรยากาศของการปฏิรูปไปสู่ความเป็นอิสลามสายกลาง การยกระดับสิทธิสตรีในซาอุฯ ให้พ้นจากความเป็น “ประเทศสุดท้ายในโลก” ที่ห้ามผู้หญิงขับรถ จึงออกจะสดใสซาบซ่าน น่าปลาบปลื้มยินดีเอามากๆ

แต่ก่อนที่จะถึงเดือนมิถุนายน ปีนี้...อันเป็นช่วงระยะเวลาที่กฎหมายปฏิรูปเรื่องการขับรถขับราของสตรีจะมีผลบังคับใช้ บรรดานักสิทธิสตรีทั้งหลายในซาอุฯ ก็ดันถูก “กวาดจับเข้าคุก” กันไปเป็นรายๆ โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงระดับนำๆทั้งหลาย ที่ถูกรวบเข้าซังเตไปแล้วเกือบสิบคน แม้แต่ “Loujain al-Hathloul” แห่งองค์กร “GCHR” ก็ได้ข่าวว่าถูกรวบตัวที่อาบู ดาบี แล้วส่งมาควบคุมเอาไว้ในซาอุฯ “Eman al-Naja” ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยซาอุฯ “Madeha al-Ajroush” นักกายภาพบำบัด ฯลฯ ฯลฯ รวมทั้งบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีอีกจำนวนไม่น้อย นอกจากจะถูกบรรดาพวกหัวอนุรักษ์ในรัฐบาลแสดงอาการต่อต้าน ตำหนิ ประณามอย่างเปิดเผยแล้ว ยังถูกตั้งข้อหาร้ายๆ ประเภทข้อหา “ทรยศต่อชาติ” ข้อหา “สายลับ” ข้อหา “บ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร” ไปจนถึงข้อหา “พยายามจัดตั้งองค์กรที่ล่วงละเมิดหลักการทางศาสนา” ...ฯลฯ ฯลฯ...

การที่บรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี ที่พยายามเรียกร้องทวงสิทธิให้สตรีซาอุฯ สามารถขับรถขับราไปไหนต่อไหนก็ได้ ดันมาถูกกวาดจับไปเป็นแผงๆ เช่นนี้ เลยทำให้ใครต่อใครอดไม่ได้ที่จะต้องหันไปตั้งคำถาม ว่าเอาไป-เอามาแล้ว...ว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่อย่างเจ้าชาย “MbS” ท่านทรงมีพระประสงค์ไปในแนวไหนกันแน่??? เพราะบรรดาผู้ที่ฝันอยากเห็นการ “ปฏิรูป” ทั้งหลายในซาอุฯ ดันถูกกวาดจับเข้าไปนอนฝัน นั่งฝัน อยู่ในคุกกันไปเป็นรายๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ...คำถามที่ว่านี้ ก็ดันไม่มีคำตอบเอาดื้อๆ เนื่องจากผู้ที่ควรจะให้คำตอบได้ดีที่สุด คือตัวของเจ้าชาย “MbS” เอง ทุกวันนี้...ก็ยังไม่คิดจะโผล่พระพักตร์ พระเนตรให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีโอกาสได้พบ ได้เห็นกันบ้างเลย เพราะหลังจากเกิดเหตุความวุ่นวายแถวๆ พระราชวัง เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ที่เรียกๆ กันว่า “เหตุการณ์คาซามี” (al-Khazami incident) อันเนื่องมาจาก “เครื่องบินเด็กเล่น” บินผ่านพระราชวัง (ตามคำแถลงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลซาอุฯ) พระองค์ก็ทรง “หายจ้อย” มาตั้งแต่บัดนั้น...

จนกระทั่งทุกวันนี้....ไม่เพียงแต่สื่ออิหร่านอย่างหนังสือพิมพ์ “Kayhan” หยิบเอาไปร่ำลือ ว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ (เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง) ไปเพราะโดนกระสุน 2 นัด จากผู้ก่อการความไม่สงบ หรือจากความพยายาม “ก่อกบฏ” แต่เพียงเท่านั้นล่าสุด...แม้ว่าสำนักพระราชวังขององค์มกุฎราชกุมาร จะออกมาเผยแพร่ภาพถ่ายที่ไม่ระบุวัน ว. เวลา น. เอาไว้ชัดๆ แต่ก็ไม่อาจหยุดคำร่ำลือ ที่แพร่สะพัดต่อไปยังเว็บไซต์สำนักข่าวอาหรับ อย่าง “Sawt al-Arab News” รวมทั้งหนังสือพิมพ์อังกฤษ อย่าง “The Observer” ได้เลย ที่หันมาอ้าง “แหล่งข่าว” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกา ระบุว่าถ้าพระองค์ไม่ถึงกับสิ้นพระชนม์ ก็น่าจะบาดเจ็บสาหัสมิใช่น้อย ไม่ต่างไปจาก “นักซุบซิบนินทา” ประจำราชวงศ์ซาอุฯ ที่ถูกเรียกขานในนาม “Mujtahid” ที่ออกมาระบุถึง “ความล้มเหลว” ในการสยบข่าวลือ ไม่ให้แพร่สะพัดเกินไปกว่านี้...

แต่ที่ไม่ใช่ “ข่าวลือ” เป็นข่าวจริงแบบชัดเจน ตรงไป-ตรงมา ก็คือข่าวว่าด้วยเจ้าชายรายหนึ่งของซาอุฯ ผู้นามกรว่า “คาลิด บิน ฟาฮาน” (Khalid bin Farhan) ซึ่งได้อพยพหลบหนีภัยการเมืองในซาอุฯ มาอยู่ที่ประเทศเยอรมนีตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 ได้ออกมาให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ “Middle East Eye” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาด้วยการเรียกร้องให้ 2 เจ้าชายแห่งราชวงศ์อัล ซาอุด ที่ยังทรงอำนาจและอิทธิพลมิใช่น้อย คือเจ้าชาย “อาเหม็ด บิน อับดุลอาซิส” (Ahmed bin Abdulaziz) อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยซาอุฯ ที่ดำรงตำแหน่งมาจนถึงปี ค.ศ. 2012 และเจ้าชาย “มุกริน บิน อับดุลอาซิส” (Muqrin bin Abdulaziz) อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองและอดีตมกุฎราชกุมารองค์ก่อน ลุกขึ้นมากระทำการ “ปฏิวัติ” ยึดอำนาจจากกษัตริย์ซัลมาน และจากเจ้าชาย “MbS” ด้วยการให้คำยืนยันเอาไว้ว่า... “ขณะนี้ 99 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกราชวงศ์และกองทัพ พร้อมยืนหยัดเคียงข้างเจ้าชายทั้งสองอย่างชัดเจนแล้ว...” จริง-ไม่จริง ลือ-ไม่ลือ คงต้องติดตามกันต่อ แต่จากเรื่องเบาๆ อย่างเรื่อง “สิทธิสตรี” สุดท้าย...ดันต้องมาจบด้วยเรื่องหนักๆ อย่างเรื่อง “ปฏิวัติซาอุฯ” จนได้ ด้วยประการละฉะนี้...


กำลังโหลดความคิดเห็น