วันนี้...คงต้องบินกลับไปแถวๆ คาบสมุทรเกาหลีกันอีกเที่ยวนั่นแหละทั่น เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ใครต่อใครต่างหัวหมุนไปกับการพลิกไป-พลิกมาของ “ทรัมป์บ้า” ในกรณีจะประชุม-ไม่ประชุมกับ “คิมน้อย” ตามกำหนดการที่เคยกำหนดเอาไว้แล้วในช่วงวันที่ 12 มิถุนาฯ ที่จะถึง เรียกว่า...เล่นเอาบรรดานักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์แทบวิเคราะห์ไม่ทันเอาเลยถึงขั้นนั้น ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว เรื่องของการพลิกลิ้น พลิกไป-พลิกมา ต้องถือเป็นบุคลิกลักษณะโดยเฉพาะที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของ “ทรัมป์บ้า” มาตั้งแต่ต้นนั่นแล..
แต่การเปลี่ยนไป-เปลี่ยนมาคราวนี้...สิ่งที่ควรหันไปให้ “น้ำหนัก” คงไม่ได้เกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของ “ทรัมป์บ้า” ล้วนๆ ซักเท่าไหร่ แต่น่าจะเกี่ยวพันกับผู้ซึ่งอาจเรียกได้ว่า “ผู้ปิดทองหลังพระ” มาโดยตลอด นั่นก็คือประธานาธิบดี “มุน แจอิน” แห่งเกาหลีใต้นั่นเอง ที่สวมบทบาทเป็น “กาวใจ” โผล่ไปจับเข่า จับหัวเหน่าผู้นำสหรัฐฯ กันถึงที่ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนโฉบกลับไปหา “คิมน้อย” แห่งเกาหลีเหนือ จนเกิดผลสรุปออกมาประมาณว่า กำหนดการประชุมซัมมิตระหว่าง 2 ผู้นำ ในวันที่ 12 มิถุนายนที่สิงคโปร์ ยังคงสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่น่าจะพลิกหน้า-พลิกหลังใดๆ ต่อไปอีกแล้ว...
คืออันที่จริง...ก่อนที่จะเกิดบรรยากาศอันนำไปสู่กระบวนการสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี หรือระหว่างที่แนวโน้มของ “สงคราม” มีความเป็นไปได้แบบหวีดหวิว ฉิวเฉียด ผู้ที่ถือว่ามีส่วนเอามากๆ ในการทำให้แนวโน้มของสงครามมันลดลง เบาลง จนแทบไม่เหลือโอกาสของการทำสงครามอีกต่อไป ก็น่าจะเกี่ยวพันกับบทบาทของท่าน “มุน แจอิน” ผู้นี้นี่เอง ที่กล้าออกมาป่าวประกาศแบบ “สวนควันปืน” ว่าตราบใดที่เกาหลีใต้ไม่ยินยอมพร้อมใจ หรือไม่เห็นด้วย...ตราบนั้น คาบสมุทรเกาหลีจะไม่มีวันเกิด “สงคราม” ขึ้นอีกโดยเด็ดขาด การยืนหยัดอยู่กับหนทางแห่ง “สันติภาพ” อย่างหนักแน่น และมั่นคงเช่นนี้ จึงทำให้โอกาสที่คุณพ่ออเมริกาจะลากเกาหลีใต้ออกไปเข่นฆ่าพี่ๆ น้องๆ ของตัวเองในเกาหลีเหนือ จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ด้วยประการละฉะนี้...
และแม้จะยืนหยัดใน “สันติภาพ” อย่างน่าเลื่อมใส น่าประทับใจเพียงใดก็ตาม...แต่พอจะมองหาใครมารับรางวัลโนเบล ไพรซ์ เพื่อสันติภาพ ท่านประธานาธิบดี “มุน” ท่านกลับหันไปยกรางวัลให้กับ “ทรัมป์บ้า” ซะเฉยเลย ไม่เคยคิดจะเอาหน้า ไม่เคยคิดจะปิดทองหน้าพระ มุ่งจะปิดทองใต้ฐาน ใต้ทวารพระอย่างไม่เสียดม เสียดาย เอาเลยแม้แต่น้อย ความจริงจัง จริงใจต่อ “สันติภาพ” ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง ที่น่าจะมีส่วนไม่น้อยในการช่วยโน้มน้าวให้ผู้ซึ่งมี “ลูกบ้า” มิใช่น้อย อย่างเช่น “คิมน้อย” ได้แปรสภาพกลายมาเป็นสุภาพบุรุษสุดเสน่ห์ ไม่ได้น่าเกลียด น่ากลัว เหมือนอย่างที่เคยถูกสร้างภาพให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น การสวมกอด จับมือ-ถือแขนแถวๆ หมู่บ้านปันมุนจอม จึงกลายเป็นภาพที่น่ารัก น่าประทับใจของชาวโลกไปตามๆ กัน...
และก็แน่ล่ะว่า... “สันติภาพ” หรือ “สงคราม” ในคาบสมุทรเกาหลีนั้น คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความบ้าน้อย-บ้ามากของ “คิมน้อย” กับ “ทรัมป์บ้า” แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังคงต้องเกี่ยวพันไปถึงมหาอำนาจที่มีพรมแดนประชิดติดพันกับเกาหลีเหนืออย่างรัสเซียและจีน อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งต้องถือเป็นโชคดีเอามากๆ ของโลกทั้งโลก ที่ทั้งสองมหาอำนาจรายที่ว่า หันมาให้ความสำคัญกับหนทางแห่ง “สันติภาพ” มากกว่า “สงคราม” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน และสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่กลายเป็นแรงส่ง หรือกลายพลังขับดันให้ความมุ่งมั่นต่อสันติภาพ ต่อนโยบาย “ตะวันฉาย” (Sunshine Policy) ที่ประธานาธิบดี “มุน” ท่านสืบทอดปณิธานมาจากประธานาธิบดีรุ่นก่อนๆ อย่างไม่คิดจะลดละ มันจึงเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเท่านั้นหรือมันทำให้ความพยายามที่จะแสวงหาผลประโยชน์จาก “ความขัดแย้ง” ของผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน อย่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยคุณพ่ออเมริกาที่เคยมีมาโดยตลอด นับตั้งแต่การขีดเส้นแบ่งพรมแดนแยก 2 เกาหลีออกจากกัน ณ เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ตามข้อตกลงสงบศึกชั่วคราว (Korean Armistice Agreement) เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้วนั่นแล...
เพราะอย่างน้อย... “กระบวนการสันติภาพ” ที่ไม่จำเป็นต้องมีอเมริกา หรืออเมริกาแทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ก็ใช่ว่าจะไม่เคยปรากฏอยู่ในโลกใบนี้เอาซะเลย เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว หรือเพิ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมานี่เอง ด้วยความมุ่งมั่น ความใฝ่ใจในสันติภาพ ยังพอช่วยดลบันดาลให้เกิดสันติภาพแม้จะในระดับชั่วครั้งชั่วคราวขึ้นมาได้บ้าง เช่นการบรรลุ “ข้อตกลงที่เมืองมินสก์” (Minsk Agreement) ในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ.2015 โดยความร่วมมือของ 4 ฝ่าย คือรัฐบาลยูเครน-รัสเซีย-เยอรมนี-ฝรั่งเศสที่ช่วยให้ “วิกฤตยูเครน” สงบลงไปได้ชั่วคราว หรือแม้แต่ข้อตกลง “นิวเคลียร์อิหร่าน” หรือ “JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) ก็เถอะ แม้คุณพ่ออเมริกาจะถลกตูด ถลกก้น ถอนตัวออกจากพันธสัญญาร่วมกันของ 5 ชาติบวก 1 แต่ความพยายามที่จะประคับประคองให้ข้อตกลงที่ว่า ยังมีผลบังคับใช้แบบเป็นจริงเป็นจังต่อไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีอเมริกา ก็กำลังปรากฏให้เห็นอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง หรืออย่างที่อเมริกาอาจต้องกลายเป็น “ผู้ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง” ต้อง “โฮม อโลน” เอาง่ายๆ...
พูดง่ายๆ ว่า...โลกในทุกวันนี้ มันไม่ใช่เป็นโลกแบบ “Pax Americana” เหมือนยุคเมื่อ 10-20 ปีอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เป็นโลกที่อเมริกาคือ “ผู้กำหนดสงครามและสันติภาพ” ได้โดยลำพัง หรือโดยอำเภอใจของตัวเองได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะถ้าหากผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างบรรดาชาวเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ต่างมุ่งมาดปรารถนาที่จะได้มาซึ่ง “สันติภาพ” อย่างจริงจังและจริงใจต่อกันและกัน บัตรสมาชิก “สมาคมเสือก” ย่อมมิอาจใช้ไปได้ตลอดชั่วนิรันดร์กาลก็หาไม่ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสร้างหลักประกันให้กับกระบวนการสันติภาพโดยที่ประชุม 5 ฝ่าย คือเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น-จีน-รัสเซีย โดยไม่ต้องมีอเมริกาเข้าเสริมเพิ่มเติมให้เป็น 6 ฝ่ายเหมือนเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ก็ใช่ว่า...จะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย โดยเฉพาะถ้าหาก “ทรัมป์บ้า” ยังคงพลิกไป-พลิกมา พลิกลิ้นซะจนใครต่อใครต่างปวดหัวกันไปทั้งโลก อย่างเช่นทุกวันนี้...