xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องแปลกแต่ปกติในสังคมมะกัน

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

<b>ไมเคิล โรทอนโด</b>
สถานการณ์เรื่องการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือกำลังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ขณะนี้ แถมยังมีท่าทีว่าอารมณ์ของความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเริ่มแรงขึ้นเหมือนเดิม มีทั้งคำขู่และคำพูดมองโลกในแง่ดีบ้าง แต่โดยภาพรวม ยังไม่น่าพอใจ

วันนี้มีเรื่องครอบครัวสังคมอเมริกันมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเกิดขึ้นในเมืองไทย จะเป็นกรณีตัวอย่าง เล่าขานกันนาน

เป็นความทันสมัยทางสังคมยุคใหม่ หรือเป็นสภาวะที่คนไร้น้ำใจ ขาดสายใยผูกพันต่อกัน ระหว่างพ่อแม่กับลูกซึ่งสืบเนื่องมาจากรูปแบบของการเลี้ยงลูกโดยสังคมคนอเมริกันโดยเฉพาะ ฝรั่งชาติอื่นอาจมีเหมือนกัน แต่ไม่เข้มข้นแบบนี้

เป็นข่าวดังสัปดาห์ก่อนเมื่อ 2 สามี ภรรยา ชาวนิวยอร์ก ยื่นคำร้องต่อศาล สั่งให้ลูกชายอายุ 30 ปี ย้ายออกจากบ้านไปหาที่อยู่ใหม่ด้วยตัวเอง หลังจากที่ได้ยื่นโนติสให้ทราบ 5 ครั้งแล้ว แต่ลูกชายไม่ใส่ใจ อ้างว่าต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 6 เดือน

ศาลไม่ต้องพิจารณาว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรรอมชอม เห็นอกเห็นใจซึ่งกัน ด้วยสายใยสัมพันธ์ของพ่อแม่และลูก แต่เห็นพ้องกับคำขอของพ่อแม่ โดยอ้างว่าหลักฐานการแจ้งให้ย้ายออกจากบ้าน 5 ครั้งที่นำมาเสนอให้ศาลเห็น เพียงพอแล้ว

ฝ่ายพ่อแม่คือ นายมาร์ค และนางคริสตินา โรทอนโด ฝ่ายลูกชายคือไมเคิล วัย 30 ปี ไว้ผมยาว หนวดเครา จัดอยู่ในประเภทไม่จริงจังกับชีวิต หรือประเภทคนไม่เอาถ่าน เป็นเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้พ่อแม่เอือมระอา แต่สังคมอเมริกันก็เป็นอย่างนี้

สังคมฝรั่ง โดยเฉพาะอเมริกัน จะแยกให้ลูกนอนเดี่ยวตั้งแต่วัยเยาว์ ให้ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่กังวลว่าลูกจะรู้สึกกลัวผี หรืออ้างว้าง ต่างจากสังคมไทยซึ่งพ่อแม่ฟูมฟัก ทะนุถนอม นอนกอดลูก จนอายุหลายขวบก็มี เว้นแต่พวกสมัยใหม่

เมื่อพ่อแม่อเมริกันส่งเสียให้ลูกเรียนจบแล้ว ก็ถือว่าสิ้นภาระ ลูกต้องหางานทำและหาที่อยู่ด้วยตัวเอง พ่อแม่ถ้ายังไม่หย่าร้างก็อยู่เอง โดยลูกไม่ต้องส่งเสียอุปการะเลี้ยงดู ไม่มีความผูกพันแนบแน่นเหมือนคนเอเชีย หรือคนในทวีปอื่นๆ

ความกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีมีเข้มข้นหรือไม่ เป็นเรื่องเฉพาะตัว โดยทั่วไป เป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า ลูกโตแล้วต้องช่วยตัวเอง ต้องหาทุน กู้เงิน เรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง ทำงานได้ต้องย้ายออกจากบ้าน ดิ้นรนสร้างฐานะเอง

อาจไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ถ้าอยู่ในเมืองหรือรัฐเดียวกัน ถ้าอยู่ต่างรัฐ อาจพบกันวันรวมญาติหรือวันสำคัญเช่นคริสต์มาส แล้วแต่ความสะดวกหรือปัจจัยเกื้อหนุน ในยุคที่ลูกมีปัญหา โดนเลิกจ้าง หางานทำไม่ได้เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจ อาจพึ่งพาพ่อแม่

นั่นหมายความว่าพ่อแม่มีฐานะดี หรือยังช่วยเหลือได้ เคยมีกรณีที่ลูกชายตกงาน ยังมีเงินจ่ายชดเชยให้บ้าง ขอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ เช่าห้องที่ตัวเองเคยอยู่ในวัยเด็ก แม้ไม่มีรายได้ แต่ก็จ่ายค่าเช่า ทุกอย่างเป็นเหมือนธุรกิจ เหมือนคนทั่วไป

สายใยสัมพันธ์ของสายเลือดเดียวกันยังมีอยู่ ที่ยอมให้เช่าห้องอาศัย แต่ไม่ได้หมายความจะอยู่ตลอดไป ถ้าลูกได้งานทำ ต้องขยับขยายออกไป

แต่กรณีของไมเคิลที่ถูกพ่อแม่ฟ้องขับไล่ให้ออกจากบ้าน ลูกชายอ้างว่าเป็นคนไม่มีรายได้ ไร้อาชีพมั่นคง อยู่ในบ้านกับพ่อแม่นาน 8 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าไม่ปกติสำหรับคนวัย 30 ปีที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไร้งาน ไร้อาชีพมั่นคง แต่ก็ไม่พึ่งพาเต็มร้อย

มีช่วงหนึ่งคนผู้เป็นพ่อได้แจ้งให้ไมเคิลเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการ “หลังจากได้ปรึกษากับแม่แกแล้ว เรามีความเห็นว่าลูกต้องย้ายออกไปจากบ้านนี้ภายใน 14 วัน จะกลับมาอีกไม่ได้อย่างเด็ดขาด และพ่อกับแม่จะดำเนินมาตรการที่จำเป็น”

หลังจากนั้น ทั้งตัวพ่อและแม่ได้หาคำปรึกษาจากทนาย และยอมยืดเวลาให้อีก 30 วันเพื่อให้ไมเคิลย้ายออก ไม่อย่างนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ฟ้องศาล

รวมแล้ว แม้ได้แจ้งให้ออกจากบ้าน 5 ครั้ง ไมเคิลยังดื้อแพ่ง สุดท้าย พ่อยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ 1,100 ดอลลาร์เพื่อเป็นค่าขนย้าย ให้หาที่เช่า แถมยังบอกว่าให้ขายอะไรที่แลกเป็นเงินได้ จะได้ไม่เป็นภาระในการขนย้ายไปอยู่ที่ใหม่

“ลูกควรขายสิ่งที่เป็นภาระ เช่นเครื่องเสียงสเตอริโอ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งอาวุธบางอย่างที่มีอยู่ เพราะสถานที่อยู่ใหม่ไม่น่าจะมีที่ให้เก็บของพวกนั้น”

ที่สุดแสบคือคำแนะนำว่า “ข้างนอกมีงานให้ทำ แม้แต่คนอย่างลูกซึ่งมีประวัติการทำงานดูไม่ดี ก็ยังจะหางานทำ หาเงินเองได้ ดังนั้น ต้องหางานให้ได้ ลูกต้องทำงาน จะอยู่แบบนี้ไม่ได้” นี่เป็นคำแนะนำของพ่อ ซึ่งดูเหมือนยังห่วงใยเล็กน้อย

เส้นตายที่กำหนดไว้ล่าสุดคือ 30 มีนาคมที่ผ่านมา จากนั้นพ่อได้แจ้งให้ไมเคิลย้ายรถยนต์ที่ชำรุดให้ออกไปพ้นจากบริเวณที่อยู่อาศัย พร้อมกับทรัพย์สินอื่นๆ มีข้อเสนอที่จะซ่อมรถให้ใช้การได้เพื่อขนย้ายสิ่งของด้วย แต่ไมเคิลก็ไม่ใส่ใจ

สุดท้ายคนผู้เป็นพ่อต้องยื่นคำร้องต่อศาล ขับไล่ลูกให้ออกจากบ้าน ไมเคิลยื่นคำร้องแย้งให้ศาลไม่รับคำฟ้อง มีข้ออ้างต่อศาลซึ่งน่าจะทำให้พ่อแม่โกรธหนักขึ้น

ไมเคิลอ้างว่าได้อยู่อาศัยร่วมกับพ่อแม่นานถึง 8 ปี แต่ไม่ได้รับรู้ว่าจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าเช่า หรือช่วยงานอื่นใด รวมทั้งการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ดังนั้น สภาพเช่นนั้นย่อมถือได้ว่าเป็นการอยู่อาศัยด้วยกัน

แม้ศาลได้เห็นชอบกับคำฟ้องขับไล่ ไมเคิลยังไม่ยอมง่ายๆ ประกาศว่าจะยื่นอุทธรณ์ อ้างว่าคำสั่งศาลเป็น “เรื่องตลก” ทำให้ความสัมพันธ์กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ตัวเองไม่ขอปรองดอง แต่ขออยู่ต่ออีก 3 เดือนก่อนจะย้ายออก ศึกนี้จะยังยืดเยื้อ


กำลังโหลดความคิดเห็น